พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,582 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเจ้าของที่ดินฟ้องเปิดทางจำเป็น แม้ไม่ครอบครอง และฟ้องซ้ำที่ไม่เป็นเหตุต้องห้าม
โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีอำนาจฟ้องให้จำเลยเปิดทางพิพาทที่โจทก์อ้างว่าตกเป็นทางจำเป็นได้โดยโจทก์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ครอบครองทางพิพาทและการที่โจทก์ยื่นฟ้องแล้วขอถอนฟ้องและนำมูลคดีนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมาย มิใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ถอนฟ้องคดีก่อน ศาลชั้นต้นจึงยังมิได้มีคำพิพากษาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี การที่โจทก์นำมูลคดีเดียวกันมาฟ้องเป็นคดีนี้ จึงมิใช่เป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ดังนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำอันต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 148 ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่โดยรอบ โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมา 40 กว่าปี โดยไม่ได้ใช้ทางอื่น ทางพิพาทอยู่ริม สุดของเขตที่ดินของจำเลยทำให้ที่ดินของจำเลยที่ 2 เสียหายน้อยที่สุดและเป็นทางจำเป็นซึ่งพอควรแก่ความจำเป็นของโจทก์ ดังนี้จำเลยไม่มีสิทธิก่อกำแพงปิดกั้นทางพิพาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิร่วมกันในร้านเช่าจากการอยู่ร่วมฉันสามีภริยา และการเรียกร้องเงินลงทุนในกิจการค้า
โจทก์และจำเลยแต่งงานในปี พ.ศ. 2526 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ภายหลังจากแต่งงานกันประมาณ 2 เดือน โจทก์ทำสัญญาเช่าร้านพิพาท โจทก์และจำเลยได้พักอาศัยและทำการค้าร่วมกันในร้านพิพาทเป็นเวลาประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้น โจทก์ได้เลิกร้างกับจำเลยและออกจากบ้านพิพาทไป กรณีไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนชำระเงินค่าเซ้ง สิทธิการเช่า หรือเป็นผู้เช่าร้านพิพาท สิทธิการเช่าร้านพิพาทเกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์และจำเลยอยู่ร่วมฉันสามีภริยากันโจทก์และจำเลยได้พักอาศัย และร่วมทำการค้าอยู่ในร้านพิพาทด้วยกันเรื่อยมา แสดงว่าสิทธิการเช่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ที่หามาได้โดยโจทก์และจำเลยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน การที่โจทก์ลงชื่อเป็นผู้เช่าร้านพิพาทแต่เพียงผู้เดียว ไม่เป็นข้อสันนิษฐานว่าจำเลยไม่มีส่วนร่วมด้วย สิทธิการเช่าร้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกจากร้านพิพาท ที่โจทก์เรียกเงินที่นำไปลงทุนในการค้ากับจำเลยนั้น เนื่องจากเงินที่โจทก์นำไปลงทุนได้เอาไปซื้อเป็นสินค้าไว้จำหน่ายในร้านสินค้าที่โจทก์ซื้อมาย่อมจะต้องมีทั้งขายไปและซื้อมาใหม่ ดังนั้นในเวลาที่โจทก์เลิกร้างกับจำเลยสินค้าในร้านอาจมีมาก หรือน้อยกว่าที่เริ่มซื้อมาในครั้งแรก ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้เงินตามที่โจทก์ฟ้องได้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่เกี่ยวกับสิทธิสินค้าในร้านพิพาทภายในกำหนดอายุความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ขาดอำนาจฟ้อง: คดีพิพาทที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
แม้ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์จะกล่าวอ้างเพียงว่า จำเลยทั้งสองไปคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยไม่ระบุว่าเป็นที่ดินที่มีหลักฐานแสดงถึงสิทธิการครอบครองแปลงใดก็ตาม แต่เมื่อจำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามส.ค.1 เลขที่ 180 โจทก์ก็ไม่ปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่นแต่กลับแถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของโจทก์เป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินพิพาทซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นที่ดินแปลงอื่นจึงขัดกับข้อเท็จจริงที่โจทก์แถลงรับในคดี และโจทก์จะฎีกาว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงอื่นไม่ได้ เมื่อปรากฏว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาทในคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2294/2522 ซึ่งวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนายยิ้ม จึงเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มที่ผูกพันโจทก์ เมื่อโจทก์ไม่ได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 2 บุตรของนายมิ้มซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมลำดับที่ 1 ชั้นผู้สืบสันดาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1629 ผู้มีสิทธิรับมรดกของนายมิ้มขอให้ขับไล่จำเลยที่ 2ออกจากที่ดินพิพาทไม่ได้ เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนจำเลยที่ 1ต่อสู้คดีโดยอ้างว่า เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2จึงเป็นคำให้การที่อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่ซ้ำ: คำพิพากษาถึงที่สุดเรื่องมรดกผูกพันคู่ความเดิม โจทก์ฟ้องทายาทโดยธรรมไม่ได้
ศาลวินิจฉัยในคดีก่อนว่าที่ดินที่พิพาทเป็นมรดกของ ม.เป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินที่พิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ม. คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุตรของ ม. และมีสิทธิรับมรดกของ ม. เป็นคดีหลังขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทโดยมิได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่เช่นนี้ คดีหลังเป็นฟ้องผิดซ้ำกับคดีเดิม ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-ขาดอำนาจฟ้อง: คดีเดิมวินิจฉัยเจ้าของที่ดินแล้ว โจทก์ฟ้องทายาทอีกครั้งถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีก่อนซึ่งโจทก์ฟ้อง ส. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ม.เป็นจำเลย ศาลได้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ ม.เป็นการวินิจฉัยถึงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทของทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของ ม. คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดีก่อน เมื่อคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วการที่โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของ ม. และมีสิทธิรับมรดกของ ม.ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท โดย มิได้แสดงสิทธิอื่นขึ้นใหม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 และแม้จำเลยที่ 1 จะมิได้เป็นทายาทของ ม. แต่จำเลยที่ 1 ต่อสู้คดีโดย อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 2จึงเป็นคำให้การที่อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดและการแบ่งกรรมสิทธิ์รวม: การมอบอำนาจที่ไม่ชัดเจนและการโต้แย้งสิทธิ
การฟ้องคดีเรื่องจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินกับเรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหายที่จำเลยนำบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกให้เช่าเป็นคนละเรื่องมิได้เกี่ยวเนื่องกันเมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ ย. ดำเนินคดีเฉพาะเรื่องจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน ไม่ได้มอบอำนาจให้ฟ้องคดีเรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหาย แม้โจทก์จะเบิกความว่าได้ให้ ย. ดำเนินคดีเกี่ยวกับละเมิดและเรียกค่าเสียหายด้วยก็จะฟังคำเบิกความดังกล่าวเป็นการให้สัตยาบันตามกฎหมายหาได้ไม่ คำฟ้องเรื่องละเมิดและเรียกค่าเสียหายจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คดีก่อนศาลวินิจฉัยเพียงว่า ตามคำฟ้องโจทก์ยังไม่ปรากฏว่ามีการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ มิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ขอแบ่งสัดส่วนในที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมตามข้อตกลงที่ทำขึ้นระหว่างโจทก์จำเลยโดยขอให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกให้ เป็นการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งจำเลยในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมจะต้องดำเนินการทางทะเบียนด้วย เมื่อจำเลยไม่ยอมดำเนินการดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยให้แบ่งกรรมสิทธิ์รวมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลายซ้ำหลังศาลยกเลิกการล้มละลายเดิม ถือเป็นเหตุไม่สมควรฟ้องล้มละลาย
โจทก์เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย จนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135(2)และเจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียงรายเดียวถอนคำขอรับชำระหนี้ไป ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลาย โจทก์จึงนำมูลหนี้รายเดียวกันมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายอีก ดังนี้ หากยอมให้โจทก์เอาหนี้ที่หมดสิทธิเรียกร้องในคดีล้มละลายแล้วกลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายใหม่ก็เท่ากับอนุญาตให้ขยายระยะเวลาขอรับชำระหนี้อันผิดบทบัญญัติในพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 91 และการที่ศาลจะสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือพิพากษาให้ล้มละลายนั้น ย่อมทำให้ลูกหนี้ถูกจำกัดสิทธิ และไม่สามารถจัดกิจการทรัพย์สินได้ด้วยตนเองจึงต้องเป็นไปโดยมีเหตุผลสมควรจริง ๆ ไม่ใช่ให้ใช้กฎหมายล้มละลายเป็นเครื่องมือบีบคั้นลูกหนี้ กรณีนี้ฟังได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่สมควรให้ลูกหนี้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14ศาลต้องยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลายซ้ำ: ศาลยกฟ้องเนื่องจากประเด็นพิพาทซ้ำกับคดีก่อนและไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ยังมีที่ดินอยู่ 1 แปลงจำเลยที่ 2 ไม่ได้โอนขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว และโจทก์ไม่ได้นำสืบถึงราคาที่ดินแปลงดังกล่าวว่ามีราคามากกว่าหรือน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยทั้งสองยังค้างชำระแก่โจทก์ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัว และคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์นำมูลหนี้จำนวนเดิมกลับมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีล้มละลายอีกเมื่อคดีทั้งสองมีคู่ความเดียวกันและประเด็นพิพาทที่จะต้องวินิจฉัยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ได้โอนขายที่ดินแปลงเดียวกันแก่บุคคลภายนอกไปแล้วหรือไม่ และจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลายซ้ำ: เหตุเดิม, คู่ความเดิม, ประเด็นพิพาทเดิม ถือเป็นฟ้องซ้ำ ห้ามฟ้อง
โจทก์เคยฟ้องศาลให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดศาลพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้นำมูลหนี้เดิมมาฟ้องศาลให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดอีก และมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย ในคดีนี้อาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับคดีก่อนว่า จำเลยที่ 2 ได้โอนขาย ที่ดินแก่บุคคลภายนอก และจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคแรก ประกอบด้วย พ.ร.บ. ล้มละลายฯมาตรา 153.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: การเลิกจ้างเนื่องจากเกษียณอายุ แม้จะอ้างเหตุอื่นเพิ่ม ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามสำนวนในคดีก่อนและคำฟ้องโจทก์ทั้งสามในคดีนี้ตรงกันว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสามในคราวเดียวกัน ทั้งอ้างเหตุที่จำเลยเลิกจ้างว่าโจทก์ทั้งสามอายุครบ55 ปีบริบูรณ์อย่างเดียวกัน แต่ฟ้องของโจทก์ทั้งสามในคดีนี้กล่าวอ้างเหตุเพิ่มว่าโจทก์ทั้งสามยังไม่เกษียณอายุ จำเลยเลิกจ้างไม่เป็นธรรม เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อหาใหม่ ซึ่งปรากฏว่าโจทก์ทั้งสามยอมรับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 1 ในคดีก่อนว่า ระเบียบข้อบังคับของจำเลยในการทำงานกำหนดว่าพนักงานโรงงานเกษียณอายุเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นเหตุที่จำเลยเลิกจ้างในคดีนี้ก็เพราะโจทก์ทั้งสามมีอายุครบ 55 ปีซึ่งเกษียณอายุนั่นเอง ประเด็นคดีนี้จึงประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากล่าวกันมาแล้วซึ่งมีมูลมาจากการเลิกจ้างของจำเลยในคราวเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ทั้งสามคดีนี้ที่อ้างเหตุต่าง ๆ เพิ่ม ก็ไม่ทำให้มีประเด็นเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ฟ้องโจทก์ทั้งสามคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31