คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 225

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,295 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งและการไม่มีสิทธิฎีกา กรณีศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใดจึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้แล้วพิพากษายืนจึงเป็นการไม่ชอบและไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกาเมื่อโจทก์ฎีกาทำนองเดียวกับที่อุทธรณ์ขึ้นมาอีกโจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ไม่ชัดแจ้ง – สิทธิฎีกา – ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไร หรือเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้แล้วพิพากษายืน จึงเป็นการไม่ชอบและไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกา เมื่อโจทก์ฎีกาทำนองเดียวกับที่อุทธรณ์ขึ้นมาอีก โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2299/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน: ศาลมีอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ชัดเจน
เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีปัญหาเรื่องคำขอท้ายฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามอุทธรณ์ โจทก์และจำเลยทั้งสองมิได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดและโจทก์ฟ้องประสงค์ให้ศาลพิพากษาแบ่งที่ดินที่โจทก์และจำเลยทั้งสองถือกรรมสิทธิ์รวมกันตามส่วนของแต่ละคนที่มีกรรมสิทธิ์อยู่เป็นประการสำคัญแม้โจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องอย่างไรศาลย่อมมีอำนาจแบ่งให้ได้ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ไม่เป็นการพิพากษาที่ไม่ตรงตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1444/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายแร่ดีบุก: การกำหนดราคาภายหลังและการถือว่าเงินล่วงหน้าเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขาย เงินได้พึงประเมิน
ตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในการซื้อเนื้อแร่ดีบุกระหว่างโจทก์ผู้ขายกับบริษัทท. ผู้ซื้อสัญญาระบุให้ถือว่าการส่งมอบแร่ดีบุกสำเร็จบริบูรณ์และกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของผู้ซื้อเมื่อได้ชั่งน้ำหนักชิ้นรวมตามวิธีที่ระบุไว้นอกจากนั้นได้กำหนดราคาซื้อให้คำนวณโดยใช้ราคาตลาดปีนังของวันตลาดดีบุกปีนังที่ผู้ขายระบุวันใดวันหนึ่งภายใน30วันหลังจากวันส่งมอบเป็นวันตลาดปีนังก็ได้กรณีผู้ขายมิได้ระบุวันตลาดดีบุกปีนังให้ใช้วันตลาดดีบุกปีนังในวันที่30หลังจากวันส่งมอบในการคำนวณราคาซื้อและเมื่อได้รับคำขอผู้ซื้อจะจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ขายเป็นเงินบาทจำนวนไม่เกินร้อยละ80ของราคาซื้อสุทธิจากปริมาณแร่ดีบุกที่ส่งมอบในแต่ละครั้งคำนวณจากราคาตลาดปีนังของวันที่จ่ายเงินล่วงหน้าเช่นนี้สัญญาซื้อขายนี้จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่วันที่มีการส่งมอบแร่แล้วเพียงแต่การกำหนดราคาแร่ที่แน่นอนผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายกำหนดภายหลังส่วนข้อตกลงให้ผู้ซื้อจ่ายเงินล่วงหน้าจำนวนร้อยละ80กับข้อกำหนดให้ผู้ขายเสียดอกเบี้ยในเงินดังกล่าวร้อยละ1ต่อเดือนไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายทั้งผู้ซื้อยืนยันว่าไม่ได้ดำเนินการรับจำนำแร่และเงินล่วงหน้าค่าแร่เป็นเงินส่วนหนึ่งของราคาแร่หาใช่เงินกู้ไม่เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์จะต้องมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โจทก์แก้อุทธรณ์ขอให้งดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแต่โจทก์มิได้ขอให้บังคับไว้ในคำฟ้องจึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลภาษีอากรต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่งประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรฯมาตรา29ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1099/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรอการลงโทษและข้อจำกัดในการยกประเด็นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ที่ไม่ได้ระบุในคำฟ้อง
การที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยโจทก์และจำเลยไม่สืบพยานศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่รอการลงโทษไว้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยไปรายงานตัวต่อจ่าศาลเดือนละครั้งภายในกำหนด1ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ไม่รอการลงโทษจำเลยตามประเด็นที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์แล้วส่วนข้อที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์ว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเป็นเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยไม่ได้นั้นเมื่อโจทก์มิได้บรรยายมาในคำฟ้องจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค2ไม่วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้จึงชอบแล้วคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค2ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา186(6)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 751/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการกำหนดดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายบัญญัติ และสิทธิจำเลยในการอุทธรณ์
การที่ศาลชั้นต้นกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้จำเลยรับผิดในอัตราสูงกว่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(6) เป็นกรณีที่ศาลใช้ดุลพินิจกำหนดให้ในเวลาที่พิพากษาคดี พฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้จำเลยยกปัญหาดังกล่าวในศาลชั้นต้น จำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, คุณสมบัติเจ้าอาวาส, หนังสือมอบอำนาจ, การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจเบิกจ่าย, และการส่งมอบสมุดบัญชี
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบเมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเท่ากับจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การในข้อที่เกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติเป็นเจ้าอาวาสของพระปลัดส.คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในข้อนี้แม้จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ตามก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์โดยพระปลัดส.ในฐานะเจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้ล. และว.ในฐานะผู้รับมอบอำนาจร่วมกระทำการด้วยกันโดยเป็นโจทก์ฟ้องคดีแก่จำเลยเกี่ยวกับสมุดบัญชีเงินฝากในธนาคารมิได้ให้แต่ละคนที่รับมอบอำนาจไปแยกกระทำการต่างหากจากกันดังจะเห็นได้จากใบแต่งทนายความที่ผู้รับมอบอำนาจทั้งสองก็ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลหลายคนร่วมกันกระทำการมากกว่าครั้งเดียวซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรข้อ7(ข)กำหนดค่าอากรแสตมป์ไว้30บาท ตามสำเนาบัญชีเงินฝากและสำเนาแบบขอฝากเงินของนิติบุคคลระบุว่าการเปิดบัญชีเงินฝากรายพิพาทนี้ทำในนามวัดโจทก์จำเลยเป็นเพียงผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวแทนโจทก์ได้เท่านั้นดังนี้หากโจทก์ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขลายมือชื่อผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวอย่างไรโจทก์ก็ย่อมทำได้อยู่แล้วกรณีไม่มีนิติกรรมอย่างใดให้จำเลยต้องไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์จึงบังคับให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 431/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, การมอบอำนาจ, อากรแสตมป์, สิทธิเบิกจ่ายเงิน, การขาดนัดยื่นคำให้การ
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาจะยกขึ้นวินิจฉัยได้ ต้องเกิดจากข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงเท่ากับจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การในข้อที่เกี่ยวกับการขาดคุณสมบัติเป็นเจ้าอาวาสของพระปลัด ส.คดีจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในข้อนี้ แม้จำเลยได้นำสืบต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นและยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
หนังสือมอบอำนาจที่โจทก์โดยพระปลัด ส.ในฐานะเจ้าอาวาสได้มอบอำนาจให้ ล.และ ว.ในฐานะผู้รับมอบอำนาจร่วมกระทำการด้วยกันโดยเป็นโจทก์ฟ้องคดีแก่จำเลยเกี่ยวกับสมุดบัญชีเงินฝากในธนาคาร มิได้ให้แต่ละคนที่รับมอบอำนาจไปแยกกระทำการต่างหากจากกัน ดังจะเห็นได้จากใบแต่งทนายความที่ผู้รับมอบอำนาจทั้งสองคนก็ได้ลงลายมือชื่อร่วมกันเพื่อแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีนี้ จึงเป็นการมอบอำนาจให้บุคคลหลายคนร่วมกระทำการมากกว่าครั้งเดียวซึ่งตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้าย ป.รัษฎากรข้อ 7 (ข) กำหนดค่าอากรแสตมป์ไว้ 30 บาท
ตามสำเนาบัญชีเงินฝากและสำเนาแบบขอฝากเงินของนิติบุคคลระบุว่าการเปิดบัญชีเงินฝากรายพิพาทนี้ทำในนามวัดโจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้มีสิทธิลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวแทนโจทก์ได้เท่านั้น ดังนี้หากโจทก์ประสงค์จะเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขลายมือชื่อผู้มีสิทธิเบิกจ่ายเงินตามบัญชีดังกล่าวอย่างไรโจทก์ก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว กรณีไม่มีนิติกรรมอย่างใดให้จำเลยต้องไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะลงลายมือชื่อเบิกจ่ายเงินให้แก่โจทก์จึงบังคับให้จำเลยดำเนินการดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกเหตุเปลี่ยนแปลงคำให้การในชั้นอุทธรณ์/ฎีกาหลังรับสารภาพ และการแก้ไขคำพิพากษาฐานก่นสร้างแผ้วถางป่า
ข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประวัติความเป็นไปและสิ่งแวดล้อมของจำเลยและพฤติการณ์แห่งคดีเพื่อศาลใช้ประกอบในการใช้ดุลยพินิจในการลงโทษจำเลยที่เหมาะสมยิ่งขึ้นเท่านั้นมิใช่นำมาใช้ในการวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิดหรือไม่แต่อย่างใดเมื่อจำเลยที่1ให้การรับสารภาพต่อศาลชั้นต้นว่าได้กระทำผิดตามฟ้องแล้วจำเลยที่1จะยกเอาข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่1มิได้กระทำผิดขึ้นมาอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้ให้การรับสารภาพไว้ดังกล่าวว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาคดีทำให้หมดสิทธิอุทธรณ์ แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลยเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา หลังจากมีคำสั่ง 3 เดือนเศษ ศาลชั้นต้นจึงมีคำพิพากษา จำเลยมีโอกาสและสามารถยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งได้ แต่จำเลยมิได้โต้แย้ง จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ปัญหานี้แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ได้รับวินิจฉัยไว้ก็ตาม ก็ยังคงเป็นปัญหาที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
of 130