พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2709/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเสียอายุความ: แม้สิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว การยอมรับชำระหนี้ภายหลัง ถือเป็นการละเสียอายุความได้
โจทก์เป็นผู้ค้าในการรับทำการงาน สิทธิของโจทก์ในการเรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นคือค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศจากจำเลย มีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ.มาตรา 165 (7)เดิม โจทก์มิได้ใช้สิทธิเรียกร้องนั้นภายใน 2 ปี นับแต่ขณะที่อาจจะบังคับสิทธิเรียกร้องนั้นได้ สิทธิเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว แต่ที่จำเลยมีถึงโจทก์ตอบที่โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศให้แก่โจทก์ภายหลังจากสิทธิเรียกร้องดังกล่าวของโจทก์ได้ขาดอายุความแล้ว ปรากฏว่าแม้ข้อความในหนังสือที่จำเลยมีถึงโจทก์ดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่จำเลยต่อว่าโจทก์ถึงข้อบกพร่องในการปฏิบัติงานของพนักงานของโจทก์และแจ้งให้โจทก์แก้ไขปรับปรุงการทำงานของพนักงานของโจทก์ แต่ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวก็มีข้อความในทำนองว่าจำเลยยอมรับผิดชอบชำระค่าใช้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศที่โจทก์ทวงถามและยินดีผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะหมด การที่จำเลยมีถึงโจทก์เช่นนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตาม ป.พ.พ.มาตรา 192 เดิมแล้ว
การที่จำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นมิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 172 เดิม อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความตามมูลหนี้เดิมขึ้นใหม่ ดังนั้นแม้โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อเลยกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แล้ว จำเลยก็หาอาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ไม่
จำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่รวมอยู่ในประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ด้วย และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ โดยได้วินิจฉัยด้วยว่าการที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ไปถึงโจทก์ไม่เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์นั้น เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
การที่จำเลยละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความนั้นมิใช่เป็นการรับสภาพหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 172 เดิม อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความตามมูลหนี้เดิมขึ้นใหม่ ดังนั้นแม้โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเมื่อเลยกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์แล้ว จำเลยก็หาอาจยกอายุความขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ไม่
จำเลยได้ให้การต่อสู้ว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ ปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่รวมอยู่ในประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วหรือไม่ด้วย และศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยประเด็นพิพาทว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความ โดยได้วินิจฉัยด้วยว่าการที่จำเลยมีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 ไปถึงโจทก์ไม่เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความ ดังนั้นปัญหาว่าจำเลยได้ละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ จึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้ว่าการที่จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์นั้น เป็นการละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความหรือไม่ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโฉนดโดยเจ้าของรวมต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน การวินิจฉัยนอกประเด็นของศาลอุทธรณ์
ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยที่1ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริตประเด็นข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่323ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกันต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยกโจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาทส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ.และจำเลยที่2ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่323ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วยสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1361วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2446/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน เจ้าของรวมไม่ยินยอม สัญญาไม่ผูกพัน การรุกล้ำที่ดินและประเด็นนอกประเด็น
ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารรุกล้ำที่ดินโจทก์โดยสุจริต ประเด็นข้อนี้จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยก โจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาท ส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ. และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้ อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์ มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ซึ่งเดิมโจทก์และ จ. เป็นเจ้าของร่วมกัน ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาให้แบ่งแยก โจทก์ได้ด้านทิศเหนือคือที่ดินพิพาท ส่วน จ. ได้ด้านทิศใต้ จ. และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 323 ทั้งแปลงโดยสัญญาจะซื้อจะขายระบุเนื้อที่และที่ตั้งของที่ดินพิพาทไว้ อันเป็นการซื้อขายตัวทรัพย์ มิใช่เป็นการขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของ จ. เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมมิได้ยินยอมจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทด้วย สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ โจทก์ยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาท-ดอกเบี้ยเกินอัตรา: แม้เช็คไม่ได้เป็นโมฆะทั้งหมด แต่ดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนดเป็นโมฆะ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องแต่ต้นเงิน
แม้จำเลยมิได้ให้การว่าเช็คพิพาทมีการรวมดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายทบต้นไว้ด้วยเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะทั้งฉบับ แต่ท้ายคำให้การก็มีคำขอให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนดอกเบี้ยนี้ด้วย ทั้งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกาได้และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาต้องวินิจฉัยให้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้จึงไม่ชอบและศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยคดีไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ จำเลยออกเช็คพิพาทให้เพื่อชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์โดยมีการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือนรวมอยู่ด้วย ดอกเบี้ยทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ แต่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกร้องต้นเงินอันเป็นหนี้ประธานที่สมบูรณ์แยกออกจากดอกเบี้ยซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ ส่วนเช็คพิพาทเป็นนิติกรรมคนละอันกับนิติกรรมการกู้ยืมเป็นเช็คที่สมบูรณ์มิใช่เช็คพิพาทตกเป็นโมฆะทั้งหมด โจทก์มีสิทธิอาศัยเช็คดังกล่าวฟ้องจำเลยได้ แต่จำเลยคงต้องรับผิดเพียงต้นเงินเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2222/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโยกย้ายก่อนแจ้งข้อเรียกร้องและการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อลูกจ้างผู้คัดค้านมิได้กล่าวไว้แจ้งชัดในอุทธรณ์ว่า การที่ศาลแรงงานมิได้วินิจฉัยถึงการเตือนของนายจ้างผู้ร้องตามข้อเท็จจริงและเอกสารที่อ้าง เป็นการผิดต่อกฎหมายอย่างไร และมีผลต่อคดีอย่างไร จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคแรก ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้ร้องมีคำสั่งโยกย้ายผู้คัดค้านไปทำงานในตำแหน่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่สหภาพแรงงานผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์จะยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2537 กรณีจึงเป็นการโยกย้ายก่อนมีการแจ้งข้อเรียกร้องไม่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา 31 วรรคแรก การที่ผู้ร้องมีหนังสือเตือนผู้คัดค้านในวันที่ 14 กันยายน 2537ให้ไปทำงานในตำแหน่งใหม่ซึ่งแม้จะอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อพิพาท ก็เป็นการเตือนถึงคำสั่งที่โยกย้ายก่อนมีการแจ้งข้อเรียกร้อง จึงไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าการที่ผู้ร้องโยกย้ายหน้าที่การงานของผู้คัดค้านเป็นการกลั่นแกล้งผู้คัดค้าน ต้องห้ามเด็ดขาดตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518 มาตรา 31 วรรคแรก และการที่ผู้คัดค้านไม่ไปทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้าง ที่ศาลแรงงานมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้เป็นการไม่ชอบนั้น อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟังว่า ผู้ร้องปรับผู้คัดค้านจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้คัดค้าน ทั้งตำแหน่งหน้าที่ใหม่เป็นการจัดทำเอกสาร ตรวจเช็ครายชื่อและทำรายงาน ผู้คัดค้านจบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ ย่อมจะทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้ไม่ยากนัก การที่ผู้คัดค้านไม่ไปปฏิบัติงานตามตำแหน่งใหม่ ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 54 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ผู้ร้องมีคำสั่งโยกย้ายผู้คัดค้านไปทำงานในตำแหน่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่สหภาพแรงงานผลิตชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์จะยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2537 กรณีจึงเป็นการโยกย้ายก่อนมีการแจ้งข้อเรียกร้องไม่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518มาตรา 31 วรรคแรก การที่ผู้ร้องมีหนังสือเตือนผู้คัดค้านในวันที่ 14 กันยายน 2537ให้ไปทำงานในตำแหน่งใหม่ซึ่งแม้จะอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อพิพาท ก็เป็นการเตือนถึงคำสั่งที่โยกย้ายก่อนมีการแจ้งข้อเรียกร้อง จึงไม่ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าการที่ผู้ร้องโยกย้ายหน้าที่การงานของผู้คัดค้านเป็นการกลั่นแกล้งผู้คัดค้าน ต้องห้ามเด็ดขาดตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์พ.ศ.2518 มาตรา 31 วรรคแรก และการที่ผู้คัดค้านไม่ไปทำงานตามตำแหน่งหน้าที่ใหม่ ไม่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้าง ที่ศาลแรงงานมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้เป็นการไม่ชอบนั้น อุทธรณ์ข้อนี้เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานฟังว่า ผู้ร้องปรับผู้คัดค้านจากลูกจ้างรายวันเป็นลูกจ้างรายเดือนซึ่งย่อมเป็นประโยชน์แก่ผู้คัดค้าน ทั้งตำแหน่งหน้าที่ใหม่เป็นการจัดทำเอกสาร ตรวจเช็ครายชื่อและทำรายงาน ผู้คัดค้านจบการศึกษามัธยมศึกษาปีที่ 6 สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้ ย่อมจะทำงานในตำแหน่งดังกล่าวได้ไม่ยากนัก การที่ผู้คัดค้านไม่ไปปฏิบัติงานตามตำแหน่งใหม่ ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบหรือคำสั่งของผู้ร้อง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 54 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินพิรุธ พยานหลักฐานโจทก์ขัดแย้งกันเอง ศาลไม่รับฟังว่ามีการกู้ยืมจริง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันถึงกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้คืนโจทก์ ขอให้จำเลยที่ 1 ชำระพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 1มิได้ยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 2 ก็ให้การเพียงว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ ปัญหาว่าสัญญากู้เงินเป็นสัญญาปลอมหรือไม่ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น คดีแพ่งที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะได้ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ปัญหาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาท ตามสัญญากู้เงินตามฟ้องหรือไม่นั้นเมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีข้อพิรุธหลายประการไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 80,000 บาทและทำสัญญากู้เงินซึ่งมีข้อความครบถ้วนแล้วจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามสัญญากู้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้กู้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญากู้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย โดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่อาจอุทธรณ์เรื่องคำฟ้องเคลือบคลุม หากไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นต้น
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมดังเช่นจำเลยร่วมจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้ออุทธรณ์ที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่อาจอุทธรณ์เรื่องฟ้องเคลือบคลุม หากไม่ได้ยกประเด็นนี้ในคำให้การต่อสู้คดี
จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมดังเช่นจำเลยร่วมจำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้เพราะเป็นข้ออุทธรณ์ที่นอกเหนือจากคำให้การของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นทางสาธารณะ & สัญญาประนีประนอม: การวินิจฉัยนอกประเด็นและการอุทธรณ์ซ้ำ
โจทก์ฟ้องว่า ทางพิพาททั้ง 6 สาย เป็นทางสาธารณะ จำเลยที่ 4 ก่อสร้างตึกแถวลงบนทางสาธารณะดังกล่าว ขอให้ระงับการก่อสร้างและนำสิ่งกีดขวางออกจากแนวเขตทางดังกล่าว จำเลยที่ 4 ให้การว่าทางทั้ง 6 สายมิใช่ทางสาธารณะ ตามคำฟ้องมิได้กล่าวอ้างว่า ทางทั้ง 6 สายเป็นทางภาระจำยอมและศาลชั้นต้นก็ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะหรือไม่ แล้ววินิจฉัยว่าทางทั้ง 6 สาย ไม่ใช่ทางสาธารณะ โจทก์ที่ 3 อุทธรณ์ว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะ ปัญหาในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียงว่าทางทั้ง 6 สายเป็นทางสาธารณะหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางสายที่ 1 ที่ 2 และที่ 3เป็นทางภาระจำยอมสำหรับโจทก์ที่ 3 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กับพวก สมคบกันใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์ทั้งหกจนโจทก์ทั้งหกกับพวกยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายทำขึ้นโดยสมัครใจ มิได้มีการใช้กลอุบายหลอกลวง โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสมประโยชน์แก่จำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
โจทก์ฟ้องอ้างว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 กับพวก สมคบกันใช้กลอุบายหลอกลวงโจทก์ทั้งหกจนโจทก์ทั้งหกกับพวกยอมทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ให้การว่า สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายทำขึ้นโดยสมัครใจ มิได้มีการใช้กลอุบายหลอกลวง โจทก์จึงต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยกฎหมาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสมประโยชน์แก่จำเลยที่ 4 แล้ว จำเลยที่ 4 จึงไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการยกข้ออ้างในชั้นฎีกา: ประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าโจทก์ไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยเนื่องจากผู้เอาประกันภัยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยที่ 2แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยในประเด็นนี้ให้ จำเลยที่ 2ก็ไม่ได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธี-พิจารณาความแพ่ง