พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,295 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น: ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ เนื่องจากโจทก์มิได้พิสูจน์ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธที่จะร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อ้างเหตุผลว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นความจริง ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคดีมีประเด็นว่าโจทก์เสียหายเท่าไร และพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเพราะ โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพียงประการเดียว ดังนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายเนื่องจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาด้วย เห็นได้ชัดว่าปัญหาข้อนี้มิใช่ปัญหาที่คู่ความได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 และ 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ผู้จะขายสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใดเพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายตารางวาละเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ผู้จะขายสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใดเพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายตารางวาละเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเสียหายจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น: การพิสูจน์ราคาที่ดินและข้อจำกัดการอุทธรณ์ประเด็นใหม่
จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธที่จะร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อ้างเหตุผลว่าค่าเสียหายเกี่ยวกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นไม่เป็นความจริง ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกร้องค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคดีมีประเด็นว่าโจทก์เสียหายเท่าไร และพิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงินค่าเสียหายเพราะโจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากราคาที่ดินที่สูงขึ้นเพียงประการเดียว ดังนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่ควรได้รับค่าเสียหายเนื่องจากราคาที่ดินเพิ่มขึ้น เพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาด้วยเห็นได้ชัดว่าปัญหาข้อนี้มิใช่ปัญหาที่คู่ความได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 และ 249
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ผู้จะขายสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใด เพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายตารางวาละเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรจึงชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ขาดประโยชน์เนื่องจากราคาที่ดินสูงขึ้น แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าในระหว่างวันที่ผู้จะขายสัญญาว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ที่ดินนี้มีราคาตารางวาละเท่าใด เพิ่มขึ้นจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขายตารางวาละเท่าใด ดังนั้น ที่ศาลกำหนดค่าเสียหายให้ตามสมควรจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: การโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนและเจตนายินยอม
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของลูกหนี้ (จำเลยในคดีล้มละลาย) มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่ตนซื้อมาระหว่างสมรสไปจำนองเอาเงินมาสร้างตึกแถวบนที่ดินต่อมานำเงินอันเป็นสินส่วนตัวไปไถ่จำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 โดยลูกหนี้รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่าง 3 ปี ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายดังนี้หนี้จำนองนั้นเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ 1 กับลูกหนี้การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้เงินสินส่วนตัวชำระหนี้นั้น เป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 เงินไถ่จำนองไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดิน การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นกรณีที่ลูกหนี้ยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอนศาลย่อมสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้มิฉะนั้นก็ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนที่ดินสินสมรสโดยไม่มีค่าตอบแทนและการยินยอมของคู่สมรสในคดีล้มละลาย
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของลูกหนี้ (จำเลยในคดีล้มละลาย) มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่ตนซื้อมาระหว่างสมรสไปจำนองเอาเงินมาสร้างตึกแถวบนที่ดิน ต่อมานำเงินอันเป็นสินส่วนตัวไปไถ่จำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 โดยลูกหนี้รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่าง 3 ปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ดังนี้ หนี้จำนองนั้นเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ 1 กับลูกหนี้ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้เงินสินส่วนตัวชำระหนี้นั้น เป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เงินไถ่จำนองไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดิน การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นกรณีที่ลูกหนี้ยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอนศาลย่อมสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้ มิฉะนั้นก็ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริง หากอุทธรณ์ต้องห้าม ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจวินิจฉัยปัญหาอำนาจฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินส่วนทางด้านทิศเหนือจากโจทก์ครบกำหนดเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยไม่ยอมออกเป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ขอให้ขับไล่ จำเลยให้การว่าทำสัญญาเช่าจากโจทก์ด้านทิศใต้และตรงที่เว้นเป็นทางเข้าออกของที่ดินส่วนทางทิศเหนือ ที่ดินส่วนทางทิศเหนือนั้นจำเลยทำสัญญาเช่าจาก บ. ไม่ได้เช่าจากโจทก์ เป็นเรื่องที่คู่ความโต้เถียงกันว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินส่วนไหนจากโจทก์ ไม่ใช่เรื่องแปลความหมายแห่งข้อความในสัญญา
ศาลอุทธรณ์จะยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ก็ต่อเมื่ออุทธรณ์นั้นเป็นอุทธรณ์ที่จะต้องรับไว้พิจารณาเสียก่อน ถ้าอุทธรณ์นั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ทั้งฉบับเสียแล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ และแม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์จะยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นมาวินิจฉัยเองได้ก็ต่อเมื่ออุทธรณ์นั้นเป็นอุทธรณ์ที่จะต้องรับไว้พิจารณาเสียก่อน ถ้าอุทธรณ์นั้นต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ทั้งฉบับเสียแล้วศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีอำนาจยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้ และแม้ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยก็ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1713/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายและการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าซ่อมหม้อแปลงไฟฟ้าจากจำเลยเป็นเงิน 19,920 บาท โดยอ้างว่าหม้อแปลงชำรุดในระหว่างเวลารับประกันศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยประกันจะซ่อมให้เมื่อหม้อแปลงชำรุดภายใน 180 วัน หม้อแปลงรายพิพาทชำรุดเมื่อพ้นเวลารับประกันแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดพิพากษายกฟ้องดังนี้ โจทก์จะอุทธรณ์ได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายและการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาจากพยานหลักฐานในสำนวนที่โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง และโจทก์มีสิทธินำสืบพยานว่าตามสัญญาซื้อขายจำเลยรับประกัน 5-10 ปีนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยรับประกันเพียง 180 วัน หม้อแปลงรายพิพาทชำรุดเมื่อพ้นกำหนดเวลารับประกันแล้ว จำเลยไม่ต้องรับผิด ดังนั้น ปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์อุทธรณ์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิจารณาพิพากษาใหม่ จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1588/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระภาษีเกินและสิทธิการขอคืนเงิน รวมถึงข้อยกเว้นภาษีการค้านำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิต
โจทก์เป็นผู้ยื่นชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้เองโดยเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยไม่ได้ประเมินเรียกให้โจทก์ชำระ ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่มีการประเมินเรียกเก็บ โจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 และเมื่อโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในทางแพ่ง โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจนำคดีมาฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ค่าภาษีเงินซึ่งลูกจ้างผู้มีเงินได้จะต้องชำระให้แก่จำเลยนั้นเป็นหนี้อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย การที่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้างไปนั้นถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยบุคคลภายนอกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 314 เงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนลูกจ้างไปนั้นเป็นเงินของโจทก์ ดังนั้น ถ้าโจทก์ชำระเกินจำนวนที่ลูกจ้างเป็นหนี้อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกคืนส่วนที่ชำระเกินไปนั้นได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 63 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป นั้นใช้บังคับสำหรับบุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายในวันที่จะใช้สิทธิเรียกเงินของตนที่ถูกหักภาษีเกินไปคืน แม้โจทก์จะไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย แต่โจทก์เป็นผู้ออกเงินของโจทก์ชำระค่าภาษีแทนลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้และถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย มีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน โดยต้องกยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระภาษีนั้นแทนโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเท่าที่ลูกจ้างมีอยู่ คือต้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 63 เช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องอายุความลาภมิควรได้นั้นจำเลยไม่ได้หยิบยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ ดังนี้ แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตาม โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบดังกล่าวตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้าตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มิถุนายน 2505 ถึงตุลาคม 2513)
ค่าภาษีเงินซึ่งลูกจ้างผู้มีเงินได้จะต้องชำระให้แก่จำเลยนั้นเป็นหนี้อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย การที่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้างไปนั้นถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยบุคคลภายนอกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 314 เงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนลูกจ้างไปนั้นเป็นเงินของโจทก์ ดังนั้น ถ้าโจทก์ชำระเกินจำนวนที่ลูกจ้างเป็นหนี้อยู่ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกคืนส่วนที่ชำระเกินไปนั้นได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 63 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป นั้นใช้บังคับสำหรับบุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายในวันที่จะใช้สิทธิเรียกเงินของตนที่ถูกหักภาษีเกินไปคืน แม้โจทก์จะไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย แต่โจทก์เป็นผู้ออกเงินของโจทก์ชำระค่าภาษีแทนลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้และถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย มีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน โดยต้องกยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระภาษีนั้นแทนโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเท่าที่ลูกจ้างมีอยู่ คือต้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 63 เช่นเดียวกัน ส่วนเรื่องอายุความลาภมิควรได้นั้นจำเลยไม่ได้หยิบยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบ ดังนี้ แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตาม โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบดังกล่าวตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้าตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มิถุนายน 2505 ถึงตุลาคม 2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1588/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระภาษีเงินได้แทนลูกจ้าง และการคืนภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบเพื่อการผลิต
โจทก์เป็นผู้ยื่นชำระภาษีการค้าและภาษีเงินได้เองโดยเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยไม่ได้ประเมินเรียกให้โจทก์ชำระดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่มีการประเมินเรียกเก็บโจทก์จึงไม่ต้องอุทธรณ์การประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 และเมื่อโจทก์มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในทางแพ่ง โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจนำคดีมาฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
ค่าภาษีเงินได้ซึ่งลูกจ้างผู้มีเงินได้จะต้องชำระให้แก่จำเลยนั้นเป็นหนี้อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายการที่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้างไปนั้นถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยบุคคลภายนอกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 314 เงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนลูกจ้างไปนั้นเป็นเงินของโจทก์ดังนั้น ถ้าโจทก์ชำระเกินจำนวนที่ลูกจ้างเป็นหนี้อยู่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกคืนส่วนที่ชำระเกินไปนั้นได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 63 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป นั้นใช้บังคับสำหรับบุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายในวันที่จะใช้สิทธิเรียกเงินของตนที่ถูกหักภาษีเกินไปคืนแม้โจทก์จะไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย แต่โจทก์เป็นผู้ออกเงินของโจทก์ชำระค่าภาษีแทนลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้และถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย มีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนโดยต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระภาษีนั้นแทนโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเท่าที่ลูกจ้างมีอยู่ คือต้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 63 เช่นเดียวกันส่วนเรื่องอายุความลาภมิควรได้นั้นจำเลยไม่ได้หยิบยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบดังนี้ แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตาม โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบดังกล่าวตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79ทวิ(3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้าตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มิถุนายน 2505 ถึง ตุลาคม 2513)
ค่าภาษีเงินได้ซึ่งลูกจ้างผู้มีเงินได้จะต้องชำระให้แก่จำเลยนั้นเป็นหนี้อันเกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายการที่โจทก์ผู้เป็นนายจ้างจ่ายเงินค่าภาษีเงินได้แทนลูกจ้างไปนั้นถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยบุคคลภายนอกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 314 เงินที่โจทก์ชำระหนี้แทนลูกจ้างไปนั้นเป็นเงินของโจทก์ดังนั้น ถ้าโจทก์ชำระเกินจำนวนที่ลูกจ้างเป็นหนี้อยู่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเงินย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกคืนส่วนที่ชำระเกินไปนั้นได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 63 ที่บัญญัติว่า บุคคลผู้ใดถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายและนำส่งแล้วเป็นจำนวนเงินเกินกว่าที่ควรต้องเสียภาษีตามส่วนนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืน แต่ต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไป นั้นใช้บังคับสำหรับบุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่ายในวันที่จะใช้สิทธิเรียกเงินของตนที่ถูกหักภาษีเกินไปคืนแม้โจทก์จะไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย แต่โจทก์เป็นผู้ออกเงินของโจทก์ชำระค่าภาษีแทนลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างของโจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้และถูกหักภาษีไว้ ณ ที่จ่าย มีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนโดยต้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระภาษีนั้นแทนโจทก์ชอบที่จะใช้สิทธิเท่าที่ลูกจ้างมีอยู่ คือต้องยื่นคำร้องขอรับเงินจำนวนที่เกินนั้นคืนต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายแห่งปีซึ่งถูกหักภาษีเกินไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 63 เช่นเดียวกันส่วนเรื่องอายุความลาภมิควรได้นั้นจำเลยไม่ได้หยิบยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตเป็นสินค้าเพื่อขาย มิได้นำมาเพื่อขายในขณะที่เป็นวัตถุดิบดังนี้ แม้โจทก์จดทะเบียนประกอบการค้าไว้ในฐานะผู้นำเข้าและผู้ผลิตก็ตาม โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบดังกล่าวตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 คือโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคแรก และโจทก์ไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีที่ให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรคสอง และเมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ประกอบการค้าวัตถุดิบต่าง ๆ เพื่อขายโดยเฉพาะก็จะถือว่าการที่โจทก์นำวัตถุดิบต่าง ๆ เข้ามาเพื่อใช้ผลิตสินค้าเป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79ทวิ(3) ไม่ได้ด้วย โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าสำหรับวัตถุดิบในฐานะผู้นำเข้าตามประมวลรัษฎากรที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น (มิถุนายน 2505 ถึง ตุลาคม 2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินเนื่องจากประพฤติเนรคุณ: ข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผู้รับให้บอกปัดไม่ยอมให้สั่งจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ผู้ให้ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยยังสามารถให้ได้อันเป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ จำเลยให้การเพียงว่าโจทก์มิได้อยู่ในฐานะยากจน แต่มีฐานะมั่นคงและจำเลยได้อุปการะโจทก์อยู่ด้วยดีตลอดมา ประเด็นจึงมีว่าโจทก์ยากไร้และจำเลยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งจำเป็นแก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่จำเลยสามารถให้ได้หรือไม่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉยว่าโจทก์ไม่ใช่คนยากไร้ จะฟ้องเรียกให้ถอนคืนการให้มิได้ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาว่าทรัพย์สินที่โจทก์มีเป็นที่ดินจะขายก็ไม่ทันที่จะนำมาใช้ตามความจำเป็นหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 647/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องยกข้อเท็จจริง/กฎหมายที่เคยว่ากันในศาลล่างเท่านั้น การค้นพบหลักฐานใหม่ในชั้นฎีกา หรือการไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นทำให้ฎีกาไม่ได้
ข้อที่อ้างขึ้นใหม่ในศาลฎีกาว่าพบเอกสารอันเป็นข้ออ้างใหม่ตามภาพถ่ายท้ายฎีกา ไม่เป็นข้อที่ศาลฎีกาจะรับพิจารณา และการที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน จำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งไว้ จึงฎีกาไม่ได้