คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 717 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากบุคคลล้มละลายและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าความ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฏว่าโจทก์ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าความแทนโจทก์โจทก์จะดำเนินคดีเองต่อไปไม่ได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24 ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีของโจทก์เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุคคลล้มละลายไม่มีอำนาจดำเนินคดีเอง ศาลจำหน่ายคดีเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าความ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์. ศาลพิพากษาว่าที่ดินไม่ใช่ของโจทก์. โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง. คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา. ปรากฏว่าโจทก์ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย. และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าความแทนโจทก์. โจทก์จะดำเนินคดีเองต่อไปไม่ได้. ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 24. ศาลฎีกาจึงให้จำหน่ายคดีของโจทก์เสีย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการบังคับคดีตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
เมื่อโจทก์แถลงรับว่าตนได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะรับค่าเช่าและดำเนินการบังคับคดีจากจำเลย จึงตกเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว
มาตรา 24 เป็นเรื่องห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้น การจะอนุญาตให้ลูกหนี้ทำกิจการนั้นได้ต้องอยู่ในดุลพินิจของบุคคลดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่เห็นชอบด้วยในการที่โจทก์จะเข้าไปจัดการทรัพย์สิน และศาลล่างทั้งสองไม่เห็นชอบด้วยการกระทำของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นมีเหตุที่ควรจะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในเรื่องนี้ให้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจบังคับคดีหลังล้มละลาย: สิทธิการบังคับคดีตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
เมื่อโจทก์แถลงรับว่าตนได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะรับค่าเช่าและดำเนินการบังคับคดีจากจำเลย จึงตกเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว
มาตรา 24 เป็นเรื่องห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้น การจะอนุญาตให้ลูกหนี้ทำกิจการนั้นได้ต้องอยู่ในดุลพินิจของบุคคลดังกล่าวโดยเฉพาะเรื่องนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่เห็นชอบด้วยในการที่โจทก์จะเข้าไปจัดการทรัพย์สิน และศาลล่างทั้งสองไม่เห็นชอบด้วยการกระทำของโจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นมีเหตุที่ควรจะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในเรื่องนี้ให้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1970/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
เมื่อโจทก์แถลงรับว่าตนได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว. สิทธิของโจทก์ที่จะรับค่าเช่าและดำเนินการบังคับคดีจากจำเลย จึงตกเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว.
มาตรา 24 เป็นเรื่องห้ามมิให้ลูกหนี้กระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้เท่านั้น. การจะอนุญาตให้ลูกหนี้ทำกิจการนั้นได้ต้องอยู่ในดุลพินิจของบุคคลดังกล่าว. โดยเฉพาะเรื่องนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่เห็นชอบด้วยในการที่โจทก์จะเข้าไปจัดการทรัพย์สิน และศาลล่างทั้งสองไม่เห็นชอบด้วยการกระทำของโจทก์. ศาลฎีกาไม่เห็นมีเหตุที่ควรจะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจในเรื่องนี้ให้เป็นอย่างอื่น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561-1564/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิลูกหนี้ในการอุทธรณ์คำสั่งรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย และการเป็นเจ้าหนี้ตามเช็ค
การสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และการพิจารณาของศาลเรื่องเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้เป็นกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายซึ่ง มาตรา 22,24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายไม่ห้ามลูกหนี้ที่จะดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายต่อสู้คดีเรื่องเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ และตามมาตรา 106 ให้สิทธิลูกหนี้ที่จะโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ได้ ดังนั้นเมื่อศาลสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้ ลูกหนี้ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 153 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 22
เมื่อผู้ขอรับชำระหนี้เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยผู้ล้มละลายออกให้ ย่อมมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ แม้ว่าหนี้นั้นจำเลยจะเป็นลูกหนี้ผู้อื่นก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1561-1564/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิลูกหนี้ในการอุทธรณ์คำสั่งรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย และการเป็นเจ้าหนี้ตามเช็ค
การสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และการพิจารณาของศาลเรื่องเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้เป็นกระบวนพิจารณาคดีล้มละลาย ซึ่งมาตรา 22,24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายไม่ห้ามลูกหนี้ที่จะดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายต่อสู้คดีเรื่องเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ และตามมาตรา 106 ให้สิทธิลูกหนี้ที่จะโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ได้ ดังนั้น เมื่อศาลสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้ ลูกหนี้ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ไม่ต้องห้ามตามประราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 22
เมื่อผู้ขอรับชำระหนี้เป็นผู้ทรงเช็คที่จำเลยผู้ล้มละลายออกให้ ย่อมมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้ แม้ว่าหนี้นั้นจำเลยจะเป็นลูกหนี้ผู้อื่นก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมูลขายทอดตลาดสิทธิการเช่า: การผิดสัญญาของผู้ซื้อและสิทธิในการริบเงินชำระส่วนหนึ่ง
เมื่อการประมูลโอนขายสิทธิการเช่าที่โจทก์ประมูลได้เป็นไปโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทราบถึงเงื่อนไขการเช่า โจทก์ก็ไม่มีสิทธิบอกล้างได้ เมื่อจำเลยพร้อมที่จะทำสัญญาโอนสิทธิตามสัญญาให้โจทก์ได้ แต่โจทก์หาได้ไปติดต่อทำสัญญาและวางเงินค่าประมูลที่ยังค้างอีกตามที่ตกลงไว้ไม่ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อราคาค่าประมูลที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ จ. เรียกร้องเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่าห้องทั้ง 11 ห้อง แต่เมื่อไม่มีทางจะโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ เพราะได้พ้นกำหนดสัญญาเดิมของ จ. ผู้เช่าจากจำเลยที่ 3 เสียแล้วจำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทน เพราะราคาค่าประมูลนั้นเป็นค่าตอบแทนสิทธิที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่า เพราะข้อตกลงในรายงานการประชุมเจ้าหนี้ระบุไว้เพียงว่าถ้าไม่ชำระอีก 75% ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25% ที่ชำระไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขให้อำนาจที่จะเรียกร้องเอาชำระราคาจนเต็มได้
จำนวนเงิน 25% ที่โจทก์วางแก่จำเลยในวันประมูลขายนั้น ในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ เพียงแต่กล่าวว่า "การชำระเงิน ผู้ซื้อจะชำระในวันนี้ 25% ส่วนอีก 75% จะชำระภายในวันที่ 3 เดือนนี้ หากผิดนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25%" ข้อความดังกล่าวนี้แสดงว่าเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อ ไม่ใช่มัดจำ จำเลยริบไม่ได้ จะว่าเป็นเบี้ยปรับที่ชำระแล้วก็ไม่ได้ เพราะในขณะที่โจทก์ชำระเงินนั้น ยังไม่มีการผิดนัด จึงเป็นการชำระเบี้ยปรับในขณะที่ยังไม่ผิดสัญญาไม่ได้อยู่เอง
เมื่อปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากจำเลยได้รับความเสียหาย ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้สิทธิเรียกร้องมาแต่ต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะริบเงินที่โจทก์วางไว้เป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาที่ชำระให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมูลขายสิทธิการเช่า: การผิดสัญญาของผู้ประมูล และสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย
เมื่อการประมูลโอนขายสิทธิการเช่าที่โจทก์ประมูลได้เป็นไปโดยถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ทราบถึงเงื่อนไขการเช่าโจทก์ก็ไม่มีสิทธิบอกล้างได้ เมื่อจำเลยพร้อมที่จะทำสัญญาโอนสิทธิตามสัญญาให้โจทก์ได้ แต่โจทก์หาได้ไปติดต่อทำสัญญาและวางเงินค่าประมูลที่ยังค้างอีกตามที่ตกลงไว้ไม่ โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
เมื่อราคาค่าประมูลที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของ จ. เรียกร้องเป็นค่าตอบแทนที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่าห้องทั้ง 11 ห้อง แต่เมื่อไม่มีทางจะโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้เพราะได้พ้นกำหนดสัญญาเดิมของ จ. ผู้เช่าจากจำเลยที่ 3 เสียแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีสิทธิจะได้รับค่าตอบแทนเพราะราคาค่าประมูลนั้นเป็นค่าตอบแทนสิทธิที่โจทก์จะได้รับโอนสิทธิการเช่า เพราะข้อตกลงในรายงานการประชุมเจ้าหนี้ระบุไว้แต่เพียงว่าถ้าไม่ชำระอีก 75 เปอร์เซนต์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25 เปอร์เซนต์ที่ชำระไว้แล้วเท่านั้น ไม่มีเงื่อนไขให้อำนาจที่จะเรียกร้องเอาชำระราคาจนเต็มได้
จำนวนเงิน 25 เปอร์เซนต์ที่โจทก์วางแก่จำเลยในวันประมูลขายนั้น ในรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้ระบุว่าเป็นเงินมัดจำ เพียงแต่กล่าวว่า "การชำระเงิน ผู้ซื้อจะชำระในวันนี้ 25 เปอร์เซนต์ ส่วนอีก 75 เปอร์เซนต์จะชำระภายในวันที่ 3 เดือนนี้หากผิดนัด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิริบเงิน 25 เปอร์เซนต์ได้" ข้อความดังกล่าวนี้แสดงว่าเป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาค่าซื้อ ไม่ใช่มัดจำ จำเลยริบไม่ได้ จะว่าเป็นเบี้ยปรับที่ชำระแล้วก็ไม่ได้ เพราะในขณะที่โจทก์ชำระเงินนั้น ยังไม่มีการผิดนัด จึงเป็นการชำระเบี้ยปรับในขณะที่ยังไม่ผิดสัญญาไม่ได้อยู่เอง
เมื่อปรากฏว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา หากจำเลยได้รับความเสียหาย ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ใช้สิทธิเรียกร้องมาแต่ต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะริบเงินที่โจทก์วางไว้เป็นการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของราคาที่ชำระให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิออกเสียงเจ้าหนี้ในที่ประชุม & ผลของมติที่ประชุมเจ้าหนี้ตามกฎหมายล้มละลาย
คดีล้มละลาย หนี้จำพวกที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ และได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วก่อนวันประชุมเจ้าหนี้นั้น เจ้าหนี้ย่อมมสิทธิออกเสียงในที่ประชุมได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่มาประชุมคัดค้านการออกเสียงของเจ้าหนี้รายนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ต้องสั่งบั่นทอนในการออกเสียงของเจ้าหนี้นั้น และถือว่าเป็นการออกเสียงที่มีผลตามกฎหมาย เมื่อจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ฝ่ายที่ลงมติฝ่ายนี้มีมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องถือว่ามติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจำนวนหนี้ข้างมากนี้เป็นมติของที่ประชุมด้วย
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปในฐานะที่โจทก์มีสทิธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้นั้น ไม่ใช่เป็นคำพิพากษาบังคับให้โจทก์จำต้องดำเนินคดีอย่างใด
of 72