พบผลลัพธ์ทั้งหมด 375 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุทางเรือ และขอบเขตความรับผิดของตัวแทนเรือ
เรือฉลอมลำน้ำของโจทก์ถูกเรือ อ. ชนจมลงเมื่อวันที่ 11เมษายน 2520 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าบริษัท ท. เป็นผู้รับประกันวินาศภัยเรือ อ. ขอให้เรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2523 ซึ่งเป็นเวลากว่าสองปี นับแต่วันวินาศภัย คดีโจทก์สำหรับจำเลยร่วมจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882
ทนายจำเลยร่วมมีหนังสือถึงโจทก์ว่าเรื่องที่เรือโจทก์เกิดชนกับเรือ อ. และโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายได้ส่งเรื่องให้ตัวการคือเจ้าของเรือ อ.พิจารณาต่อไปแล้วจะแจ้งผลการพิจารณาให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันสมควรกับได้ให้เจ้าของเรือที่ได้รับความเสียหายส่งสำเนาใบประเมินความเสียหายมาให้รายละ 3 ฉบับนั้น การกระทำของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นเพียงแต่จะพิจารณาเรื่องค่าเสียหายยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจะใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงไม่เป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยร่วมยอมรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
จำเลยเป็นเพียงตัวแทนเจ้าของเรือต่างประเทศ มีหน้าที่ในการรับขนสินค้าลงจากเรือ ติดต่อดำเนินพิธีการด้านการท่าเรือ การศุลกากรและการตรวจคนเข้าเมือง จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่กัปตันผู้ควบคุมเรือซึ่งเป็นลูกจ้างเจ้าของเรือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดในผลละเมิดที่ลูกจ้างของตัวการได้กระทำไปในหน้าที่การงานของตัวการ ไม่ว่าตัวการจะอยู่ต่างประเทศหรือในประเทศ
ทนายจำเลยร่วมมีหนังสือถึงโจทก์ว่าเรื่องที่เรือโจทก์เกิดชนกับเรือ อ. และโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายได้ส่งเรื่องให้ตัวการคือเจ้าของเรือ อ.พิจารณาต่อไปแล้วจะแจ้งผลการพิจารณาให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันสมควรกับได้ให้เจ้าของเรือที่ได้รับความเสียหายส่งสำเนาใบประเมินความเสียหายมาให้รายละ 3 ฉบับนั้น การกระทำของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นเพียงแต่จะพิจารณาเรื่องค่าเสียหายยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจะใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงไม่เป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยร่วมยอมรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
จำเลยเป็นเพียงตัวแทนเจ้าของเรือต่างประเทศ มีหน้าที่ในการรับขนสินค้าลงจากเรือ ติดต่อดำเนินพิธีการด้านการท่าเรือ การศุลกากรและการตรวจคนเข้าเมือง จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่กัปตันผู้ควบคุมเรือซึ่งเป็นลูกจ้างเจ้าของเรือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดในผลละเมิดที่ลูกจ้างของตัวการได้กระทำไปในหน้าที่การงานของตัวการ ไม่ว่าตัวการจะอยู่ต่างประเทศหรือในประเทศ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 225/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าเสียหายจากประกันภัยทางทะเล และข้อยกเว้นความรับผิดของตัวแทน
เรือฉลอมลำน้ำของโจทก์ถูกเรือ อ. ชนจมลงเมื่อวันที่ 11เมษายน 2520 โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าบริษัท ท. เป็นผู้รับประกันวินาศภัยเรือ อ. ขอให้เรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2523 ซึ่งเป็นเวลากว่าสองปี นับแต่วันวินาศภัย คดีโจทก์สำหรับจำเลยร่วมจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882
ทนายจำเลยร่วมมีหนังสือถึงโจทก์ว่าเรื่องที่เรือโจทก์เกิดชนกับเรือ อ. และโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายได้ส่งเรื่องให้ตัวการคือเจ้าของเรือ อ.พิจารณาต่อไปแล้วจะแจ้งผลการพิจารณาให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันสมควรกับได้ให้เจ้าของเรือที่ได้รับความเสียหายส่งสำเนาใบประเมินความเสียหายมาให้รายละ 3ฉบับนั้น การกระทำของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นเพียงแต่จะพิจารณาเรื่องค่าเสียหายยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจะใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงไม่เป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยร่วมยอมรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
จำเลยเป็นเพียงตัวแทนเจ้าของเรือต่างประเทศ มีหน้าที่ในการรับขนสินค้าลงจากเรือ ติดต่อดำเนินพิธีการด้านการท่าเรือ การศุลกากรและการตรวจคนเข้าเมือง จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่กัปตันผู้ควบคุมเรือซึ่งเป็นลูกจ้างเจ้าของเรือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดในผลละเมิดที่ลูกจ้างของตัวการได้กระทำไปในหน้าที่การงานของตัวการ ไม่ว่าตัวการจะอยู่ต่างประเทศหรือในประเทศ.
ทนายจำเลยร่วมมีหนังสือถึงโจทก์ว่าเรื่องที่เรือโจทก์เกิดชนกับเรือ อ. และโจทก์ขอเรียกค่าเสียหายได้ส่งเรื่องให้ตัวการคือเจ้าของเรือ อ.พิจารณาต่อไปแล้วจะแจ้งผลการพิจารณาให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันสมควรกับได้ให้เจ้าของเรือที่ได้รับความเสียหายส่งสำเนาใบประเมินความเสียหายมาให้รายละ 3ฉบับนั้น การกระทำของจำเลยร่วมดังกล่าวเป็นเพียงแต่จะพิจารณาเรื่องค่าเสียหายยังไม่เป็นการแน่นอนว่าจะใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงไม่เป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัย ตระหนักเป็นปริยายว่าจำเลยร่วมยอมรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลง
จำเลยเป็นเพียงตัวแทนเจ้าของเรือต่างประเทศ มีหน้าที่ในการรับขนสินค้าลงจากเรือ ติดต่อดำเนินพิธีการด้านการท่าเรือ การศุลกากรและการตรวจคนเข้าเมือง จำเลยไม่ต้องรับผิดในการที่กัปตันผู้ควบคุมเรือซึ่งเป็นลูกจ้างเจ้าของเรือ กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ตัวแทนต้องรับผิดในผลละเมิดที่ลูกจ้างของตัวการได้กระทำไปในหน้าที่การงานของตัวการ ไม่ว่าตัวการจะอยู่ต่างประเทศหรือในประเทศ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4508/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นหลักฐานการกู้ยืมได้ แม้ไม่ได้ระบุชัดเจน
ทำหนังสือรับสภาพหนี้ระบุว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นจำนวนแน่นอนข้อความด้าน หลังก็ระบุว่าเป็นอันลบล้างหนังสือสัญญากู้ทุกฉบับที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์ ดังนี้ หมายถึงหนี้เงินกู้ยืมหนังสือรับสภาพหนี้จึงเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตาม ป.พ.พ.มาตรา 653.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3272/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่จากการเช่าปากเปล่า: ฟ้องไม่เคลือบคลุมหรือไม่?
ฟ้องโจทก์ตั้งสภาพข้อกล่าวหาว่าจำเลยอยู่อาศัยบ้านพิพาทของโจทก์โดยการเช่าไม่มีลายลักษณ์อักษร และไม่มีกำหนดระยะเวลา โจทก์ประสงค์จะใช้ประโยชน์เอง บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออก จำเลยและบริวารไม่ออกทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายโดยเปรียบเทียบเป็นอัตราค่าเช่าขณะยื่นฟ้อง ดังนี้ ไม่ใช่ฟ้องตามสัญญาเช่า โจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่า มีข้อสัญญาว่าจำเลยชำระเงินค่าเช่าวิธีใด อย่างไร ผิดนัดค่าเช่าอย่างไร เป็นฟ้องซึ่งบรรยายแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างเป็นที่อาศัยแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2968/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้ไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ หรือสัญญาสงวนสิทธิ แต่เป็นข้อตกลงชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย
หนังสือรับสภาพหนี้เป็นเพียงหลักฐานแห่งการสงวนสิทธิเรียกร้องอันมีอยู่ในมูลหนี้เดิมเท่านั้น ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ และหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเพียงข้อตกลงในการชำระหนี้ทั้งหมดว่าจะชำระเมื่อใด หากผิดนัดจะคิดดอกเบี้ยในอัตราเท่าใด จำเลยไม่มีสิทธิอันใด ที่ยอมผ่อนผันให้โจทก์ จึงไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตัวแทนโดยมิได้อาศัยหนังสือรับสภาพหนี้เป็นหลัก การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดในดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีตามหนังสือรับสภาพหนี้จึงยังไม่ถูกต้องโดยที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1และร่วมรับผิดในหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจจะพิพากษาถึงความรับผิดในอัตราดอกเบี้ยให้มีผลบังคับแก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 5 ที่มิได้อุทธรณ์ฎีกาด้วย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสภาพการจ้างและความรับผิดชอบจากอุบัติเหตุ พนักงานขับรถ
บริษัทจำเลยกำหนดให้พนักงานขับรถยนต์ส่วนกลางเข้าทำงานวันละ 24 ชั่วโมง หยุดพักวันรุ่งขึ้น 24 ชั่วโมง ต่อมาจำเลยดำริให้เปลี่ยนเป็นทำงานเป็นผลัด ผลัดละ 8 ชั่วโมง แต่พนักงานขับรถยนต์ของจำเลยขอให้กำหนดเวลาทำงานเช่นเดิมโดยอ้างว่าต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งจำเลยก็ได้ตกลงยินยอมกำหนดเวลาทำงานของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ใช้บังคับได้ หาขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อโจทก์เข้าทำงานกับจำเลยในภายหลังก็ย่อมต้องถูกผูกพันตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว การทำงานของโจทก์จึงมิใช่เป็นการทำงานนอกเวลาทำงานปกติอันจะมีสิทธิเรียกเอาค่าล่วงเวลาจากจำเลยได้
ระเบียบของจำเลยกำหนดว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุและได้รับการพิจารณาถึงที่สุด พขร.(พนักงานขับรถ)เป็นฝ่ายผิดพขร.ที่ทำหน้าที่ขับรถจะต้องรับผิดชอบร้อยละหกสิบ ส่วน พขร.ที่นั่งคู่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบร่วมร้อยละสี่สิบดังนี้เมื่อ ส.ขับรถยนต์ของจำเลยด้วยความประมาทเลินเล่อเกิดอุบัติเหตุทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขณะที่โจทก์เป็นพนักงานขับรถที่นั่งคู่ จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละสี่สิบของค่าเสียหายทั้งหมดได้ ตามระเบียบดังกล่าว และเมื่อโจทก์ได้ยินยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยผ่อนชำระให้แก่จำเลยจึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามได้.
ระเบียบของจำเลยกำหนดว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุและได้รับการพิจารณาถึงที่สุด พขร.(พนักงานขับรถ)เป็นฝ่ายผิดพขร.ที่ทำหน้าที่ขับรถจะต้องรับผิดชอบร้อยละหกสิบ ส่วน พขร.ที่นั่งคู่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบร่วมร้อยละสี่สิบดังนี้เมื่อ ส.ขับรถยนต์ของจำเลยด้วยความประมาทเลินเล่อเกิดอุบัติเหตุทำให้จำเลยได้รับความเสียหายขณะที่โจทก์เป็นพนักงานขับรถที่นั่งคู่ จำเลยจึงมีสิทธิให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในอัตราร้อยละสี่สิบของค่าเสียหายทั้งหมดได้ ตามระเบียบดังกล่าว และเมื่อโจทก์ได้ยินยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยผ่อนชำระให้แก่จำเลยจึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นแทนลูกค้า: สิทธิหน้าที่ของตัวแทน, ลูกค้า, และการรับสภาพหนี้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนลูกค้านั้นบริษัทผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นแทนลูกค้ากับลูกค้ามีเจตนาผูกพันขอให้เป็นหุ้นประเภทจำนวนและราคาตามที่ตกลงสั่งซื้อหรือตกลงขายไว้ต่อกันเป็นปัจจัยสำคัญการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแยกจากการจดทะเบียนโอนหุ้นได้โดยเด็ดขาดกรรมสิทธิ์ในหุ้นย่อมตกแก่ผู้ซื้อทันทีที่ได้มีการซื้อขายกันการจดทะเบียนโอนหุ้นเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นใช้ยันต่อบริษัทที่ออกหุ้นหรือต่อบุคคลภายนอกเท่านั้นหาเกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของการซื้อขายหุ้นแต่ประการใดไม่ดังนี้แม้โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงกันแล้วโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1129ก็ยังถือว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่1และเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่1ไปก่อนจำเลยที่1จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ได้ออกแทนไปพร้อมทั้งค่านายหน้าและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่จำเลยที่1ตกลงไว้กับโจทก์. จำเลยที่1ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาหนี้ให้โจทก์โดยมีมูลหนี้เกิดจากที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยในตลาดหลักทรัพย์และได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่1ไปจำเลยที่1ย่อมต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้นั้นและกรณีนี้มีอายุความ10ปีนับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว. จำเลยที่2ให้การต่อสู้คดีและเบิกความว่าจำเลยที่2ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่1กับพวกและได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้แทนจำเลยที่1ปรากฏว่าข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีว่าจำเลยที่2ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่1ไม่ได้ทำในนามของตนเองประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวดังนั้นแม้จำเลยที่2จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะผู้ให้สัญญากรณีก็อาจตีความได้เป็นสองนัยว่าลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่1หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่2ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา11จำเลยที่2ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่1ต่อโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายหุ้นแทนลูกค้า: สิทธิและหน้าที่ของตัวแทน, ลูกค้า, และการรับสภาพหนี้
การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนลูกค้านั้น บริษัทผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นแทนลูกค้ากับลูกค้ามีเจตนาผูกพันขอให้เป็นหุ้นประเภท จำนวน และราคาตามที่ตกลงสั่งซื้อหรือตกลงขายไว้ต่อกันเป็นปัจจัยสำคัญ การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแยกจากการจดทะเบียนโอนหุ้นได้โดยเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในหุ้นย่อมตกแก่ผู้ซื้อทันทีที่ได้มีการซื้อขายกัน การจดทะเบียนโอนหุ้นเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นใช้ยันต่อบริษัทที่ออกหุ้นหรือต่อบุคคลภายนอกเท่านั้นหาเกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของการซื้อขายหุ้นแต่ประการใดไม่ ดังนี้แม้โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงกันแล้ว โจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ก็ยังถือว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่ 1 และเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ได้ออกแทนไปพร้อมทั้งค่านายหน้าและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 1 ตกลงไว้กับโจทก์
จำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาหนี้ให้โจทก์โดยมีมูลหนี้เกิดจากที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยในตลาดหลักทรัพย์และได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้นั้น และกรณีนี้มีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่ 1 กับพวก และได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้แทนจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำในนามของตนเอง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะผู้ให้สัญญา กรณีก็อาจตีความได้เป็นสองนัยว่า ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าว
จำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาหนี้ให้โจทก์โดยมีมูลหนี้เกิดจากที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยในตลาดหลักทรัพย์และได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้นั้น และกรณีนี้มีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่ 1 กับพวก และได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้แทนจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำในนามของตนเอง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะผู้ให้สัญญา กรณีก็อาจตีความได้เป็นสองนัยว่า ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจ่ายเงินสวัสดิการลูกจ้างแม้ขาดคุณสมบัติ: สิทธิลูกจ้างยังคงมีตราบใดที่ยังไม่ได้เลิกจ้าง
จำเลยรับราชการเป็นทหารอากาศเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่12กรกฎาคม2514ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ.2518ออกใช้บังคับมีผลให้จำเลยซึ่งรับราชการเป็นทหารอากาศขาดคุณสมบัติในการเป็นพนักงานของโจทก์แต่โจทก์คงให้ปฏิบัติงานอยู่กับโจทก์ตลอดมาจนถึงวันที่28กันยายน2520โจทก์จึงสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติงานในวันที่29กันยายน2520จำเลยก็ได้ยื่นใบลาออกต่อโจทก์และมีผลตั้งแต่วันที่1ตุลาคม2520ช่วงเวลาก่อนวันที่29กันยายน2520นั้นจำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่โจทก์มิได้สั่งเลิกจ้างจำเลยแต่อย่างใดซึ่งในเดือนกันยายน2520โจทก์ก็จ่ายเงินเดือนประจำเดือนนั้นให้จำเลยด้วยถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ฉะนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิได้เงินโบนัสเงินค่าครองชีพเงินค่ายังชีพเงินค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ในฐานะที่เป็นค่าจ้างตอบแทนการที่จำเลยทำงานให้โจทก์ตลอดช่วงเวลาที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์อยู่การขาดคุณสมบัติของจำเลยตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ.2518เป็นเพียงเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างจำเลยได้ถ้าโจทก์ยังไม่เลิกจ้างจำเลยอยู่ตราบใดจำเลยก็ยังเป็นพนักงานของโจทก์อยู่โจทก์จึงเรียกเงินต่างๆดังกล่าวข้างต้นคืนจากจำเลยไม่ได้. จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา180เท่านั้นเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระเงินคืนให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจากจำเลยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1990/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะลูกจ้างแม้ขาดคุณสมบัติ - สิทธิรับค่าจ้างและสวัสดิการ - หนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีผลผูกพันเมื่อไม่มีมูลหนี้
จำเลยรับราชการเป็นทหารอากาศเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2514 ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับ มีผลให้จำเลยซึ่งรับราชการเป็นทหารอากาศขาดคุณสมบัติในการเป็นพนักงานของโจทก์แต่โจทก์คงให้ปฏิบัติงานอยู่กับโจทก์ตลอดมาจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2520 โจทก์จึงสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติงานในวันที่ 29 กันยายน 2520 จำเลยก็ได้ยื่นใบลาออกต่อโจทก์และมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2520 ช่วงเวลาก่อนวันที่ 29 กันยายน 2520 นั้น จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ โจทก์มิได้สั่งเลิกจ้างจำเลยแต่อย่างใด ซึ่งในเดือนกันยายน 2520 โจทก์ก็จ่ายเงินเดือนประจำเดือนนั้นให้จำเลยด้วย ถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ ฉะนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิได้เงินโบนัสเงินค่าครองชีพ เงินค่ายังชีพ เงินค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ในฐานะที่เป็นค่าจ้างตอบแทนการที่จำเลยทำงานให้โจทก์ตลอดช่วงเวลาที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์อยู่ การขาดคุณสมบัติของจำเลยตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 เป็นเพียงเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างจำเลยได้ ถ้าโจทก์ยังไม่เลิกจ้างจำเลยอยู่ตราบใด จำเลยก็ยังเป็นพนักงานของโจทก์อยู่ โจทก์จึงเรียกเงินต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นคืนจากจำเลยไม่ได้
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา180 เท่านั้นเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระเงินคืนให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจากจำเลยได้
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา180 เท่านั้นเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระเงินคืนให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจากจำเลยได้