พบผลลัพธ์ทั้งหมด 40 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4802/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีปุ๋ยเคมีปลอม: การแยกความผิดฐานขายและผลิต และผลของการมีคำสั่งไม่ฟ้องก่อนหน้านี้
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมให้แก่สหกรณ์การเกษตร ก. แตกต่างจากสำนวนการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวในอีกคดีหนึ่งที่กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำปุ๋ยเคมีปลอมมาให้สหกรณ์การเกษตร ก. ขาย แต่การกระทำความผิดในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมของจำเลยทั้งสองที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้กับที่พนักงานอัยการวินิจฉัยเนื้อหาสาระแห่งคดีแล้วมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องในอีกคดีหนึ่งดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดเดียวกัน มิใช่ความผิดใหม่หรือความผิดที่ต่อเนื่องกันมา เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานดังกล่าวได้ จึงต้องห้ามมิให้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์สอบสวนจำเลยทั้งสองในเรื่องร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมอันเป็นเรื่องเดียวกันนั้นอีกตาม ป.วิ.อ. มาตรา 147 ถือไม่ได้ว่าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมเป็นการสอบสวนโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมตามมาตรา 120
ความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยว กับความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมที่เกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ เป็นความผิดสำเร็จในแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน แม้จะเป็นกรณีความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป ซึ่งทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ต่างอาจมีอำนาจสอบสวน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แต่การที่กรมวิชาการเกษตรแยกกล่าวโทษแต่ละข้อหาความผิดต่อพนักงานสอบสวนที่ความผิดแต่ละข้อหาเกิดในเขตอำนาจ กับมีการสอบสวนในแต่ละข้อหาความผิดแยกต่างหากจากกัน จึงมิใช่เป็นกรณีที่มีพนักงานสอบสวนหลายท้องที่มาเกี่ยวข้องซึ่งต้องกำหนดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนตามมาตรา 19 วรรคสอง การที่ ก. ผู้รับมอบอำนาจจากกรมวิชาการเกษตรไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรี ค. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอม พันตำรวจตรี ค. จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามมาตรา 18 วรรคสาม การสอบสวนของพันตำรวจตรี ค. ในข้อหาดังกล่าวจึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมได้ตามมาตรา 120
ความผิดฐานร่วมกันขายปุ๋ยเคมีปลอมในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยว กับความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมที่เกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ เป็นความผิดสำเร็จในแต่ละกรรมแยกต่างหากจากกัน แม้จะเป็นกรณีความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป ซึ่งทั้งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเก้าเลี้ยวและพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ต่างอาจมีอำนาจสอบสวน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 วรรคหนึ่ง (4) แต่การที่กรมวิชาการเกษตรแยกกล่าวโทษแต่ละข้อหาความผิดต่อพนักงานสอบสวนที่ความผิดแต่ละข้อหาเกิดในเขตอำนาจ กับมีการสอบสวนในแต่ละข้อหาความผิดแยกต่างหากจากกัน จึงมิใช่เป็นกรณีที่มีพนักงานสอบสวนหลายท้องที่มาเกี่ยวข้องซึ่งต้องกำหนดพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนตามมาตรา 19 วรรคสอง การที่ ก. ผู้รับมอบอำนาจจากกรมวิชาการเกษตรไปร้องทุกข์ต่อพันตำรวจตรี ค. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอม พันตำรวจตรี ค. จึงเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบตามมาตรา 18 วรรคสาม การสอบสวนของพันตำรวจตรี ค. ในข้อหาดังกล่าวจึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันผลิตปุ๋ยเคมีปลอมได้ตามมาตรา 120
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4215/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง-ไม่รับวินิจฉัย: โจทก์ฎีกาเฉพาะส่วนอำนาจฟ้องโจทก์ที่ 2 โดยไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เรื่องโจทก์ที่ 1
ฎีกาของโจทก์ทั้งสองที่ว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าการจัดประชุมใหญ่วิสามัญเจ้าของร่วมของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ และจำเลยทั้งห้าดำเนินการจดทะเบียนตามมติที่ประชุมใหญ่อันเป็นโมฆะดังกล่าว โจทก์ทั้งสองไม่จำต้องฟ้องนิติบุคคลอาคารชุดเป็นจำเลยด้วย ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 โดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1 ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ถูกต้องอย่างไร ถือว่าฎีกาในส่วนของโจทก์ที่ 1 เป็นฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาในเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับไว้พิจารณาพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4085/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีละเมิด, การรับช่วงสิทธิ, และอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเหตุละเมิดทางแพ่ง
คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) ไม่ใช่คำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1 (3) เพราะเป็นแต่คำร้องให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาเป็นจำเลยด้วยเท่านั้น ยังไม่มีผู้ใดเสนอข้อหาต่อศาลโดยการสอดเข้ามาในคดี คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีกรณีที่จะเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม และเมื่อศาลหมายเรียกจำเลยร่วมทั้งสองเข้ามาเป็นคู่ความในคดีแล้ว หากศาลเห็นว่าจำเลยร่วมจะต้องรับผิดก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหายได้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือที่ปรากฏในคำฟ้อง
พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 เป็นจำเลยในคดีส่วนอาญาว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยร่วมที่ 1 ผู้เดียวเป็นฝ่ายประมาท ในคดีส่วนแพ่งจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมที่ 1 ผู้เดียวทำละเมิดต่อโจทก์
เมื่อพนักงานอัยการฟ้องจำเลยร่วมที่ 1 เป็นคดีส่วนอาญา อายุความที่โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยร่วมที่ 1 เป็นคดีส่วนแพ่งย่อมสะดุดหยุดลง ตาม ป.อ. มาตรา 95 ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสอง โจทก์ขอหมายเรียกจำเลยร่วมที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในระหว่างคดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุด ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์รับจ้างขนส่งข้าวสารของห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. โดยมีข้อตกลงว่าหากข้าวสารเกิดความเสียหายโจทก์จะต้องรับผิดชอบ แม้ขณะเกิดเหตุละเมิดข้าวสารจะอยู่ในความครอบครองของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนข้าวสารที่เสียหายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนของข้าวสารที่เสียหายจากจำเลยร่วมทั้งสองผู้ทำละเมิด
พนักงานอัยการฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมที่ 1 เป็นจำเลยในคดีส่วนอาญาว่าขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์รับอันตรายแก่กายและทรัพย์สินเสียหาย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยร่วมที่ 1 ผู้เดียวเป็นฝ่ายประมาท ในคดีส่วนแพ่งจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยร่วมที่ 1 ผู้เดียวทำละเมิดต่อโจทก์
เมื่อพนักงานอัยการฟ้องจำเลยร่วมที่ 1 เป็นคดีส่วนอาญา อายุความที่โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยร่วมที่ 1 เป็นคดีส่วนแพ่งย่อมสะดุดหยุดลง ตาม ป.อ. มาตรา 95 ทั้งนี้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสอง โจทก์ขอหมายเรียกจำเลยร่วมที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในระหว่างคดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุด ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วมที่ 1 จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์รับจ้างขนส่งข้าวสารของห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. โดยมีข้อตกลงว่าหากข้าวสารเกิดความเสียหายโจทก์จะต้องรับผิดชอบ แม้ขณะเกิดเหตุละเมิดข้าวสารจะอยู่ในความครอบครองของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ยังไม่ได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนข้าวสารที่เสียหายให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ร. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้รับช่วงสิทธิและไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนของข้าวสารที่เสียหายจากจำเลยร่วมทั้งสองผู้ทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นและการหมดสภาพกรรมการหลังการถูกควบคุมบริษัทประกันภัย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท ส. ที่ได้มีการเลือกตั้งกรรมการบริษัทชุดใหม่ ต่อมาปรากฏว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 55 แห่ง พ.ร.บ.ประกันชีวิต พ.ศ.2535 สั่งให้ควบคุมบริษัท ส. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมบริษัท ส. ให้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกำหนดว่าด้วยการควบคุมบริษัทตามกฎหมายจนกว่าจะแล้วเสร็จ และปรากฏตามสำเนารายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท ส. ว่า ผู้คัดค้านทั้งแปดและ ธ. ซึ่งเป็นกรรมการชุดใหม่ตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่ผู้ร้องขอให้เพิกถอนได้ลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทและคณะกรรมการควบคุมบริษัทได้ดำเนินการให้มีการเลือกตั้งกรรมการบริษัทแทนผู้คัดค้านทั้งแปดกับพวกแล้ว อันเป็นผลจากการดำเนินการตามกฎหมายของคณะกรรมการควบคุมบริษัท เมื่อผู้คัดค้านทั้งแปดหมดสภาพจากการเป็นกรรมการดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 7 ต่อไปเนื่องจากคำร้องของผู้ร้องไม่อยู่ในวิสัยที่จะบังคับคดีให้เป็นไปได้ จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15358/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกสัญญาสัญญาเช่าซื้อโดยปริยาย และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่จำกัด
แม้จำเลยที่ 1 จะผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2550 ติดต่อกันเกิน 3 งวด แต่ปรากฏตามหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาพร้อมใบตอบรับว่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระภายในระยะเวลาที่กำหนด ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที และตามใบตอบรับจำเลยที่ 1 รับหนังสือในวันที่ 31 พฤษภาคม 2551 ซึ่งจะครบ 30 วันในวันที่ 30 มิถุนายน 2551 แต่โจทก์ไปยึดรถที่เช่าซื้อคืนเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2551 ซึ่งยังไม่ล่วงพ้นกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือดังกล่าวโดยจำเลยที่ 1 ยินยอมให้ยึดรถและไม่ได้โต้แย้งทักท้วง อันเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายในวันยึดรถดังกล่าว
โจทก์กับจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันเป็นการเลิกสัญญาด้วยเหตุอื่นมิใช่เป็นการเลิกสัญญาที่มีผลมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาเช่าซื้อ คู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้ออีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาจากค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระโดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งระงับไปแล้วได้ โจทก์คงมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เช่าซื้อในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ครอบครองนับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่ยึดรถที่เช่าซื้อได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม
โจทก์กับจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย อันเป็นการเลิกสัญญาด้วยเหตุอื่นมิใช่เป็นการเลิกสัญญาที่มีผลมาจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาเช่าซื้อ คู่สัญญาจึงไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าซื้ออีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาจากค่าเช่าซื้อที่ต้องชำระโดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งระงับไปแล้วได้ โจทก์คงมีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถที่เช่าซื้อในระหว่างที่จำเลยที่ 1 ครอบครองนับตั้งแต่วันผิดนัดจนถึงวันที่ยึดรถที่เช่าซื้อได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14780/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเช่าซื้อ: สัญญาเลิกกันแล้วฟ้องเกิน 10 ปี ฟ้องขาดอายุความ
โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเช่าซื้อจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์ฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ตลอดเวลาที่จำเลยทั้งสองยังคงครอบครองใช้ประโยชน์ในรถยนต์ที่เช่าซื้ออยู่เป็นการอ้างสัญญาเช่าซื้อเป็นหลักแห่งข้อหา และเป็นการสืบสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อจากเจ้าหนี้เดิมผ่านเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การเรียกทรัพย์คืนและเรียกค่าเสียหายเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30
โจทก์อ้างในอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นการใช้สิทธิแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่จะติดตามเอาทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิติดตามเอารถยนต์คืนจากจำเลยทั้งสองได้อันเป็นการใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดวันที่ 23 มีนาคม 2534 และตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 11 ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดต่อกัน สัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกัน โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2547 เกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
โจทก์อ้างในอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นการใช้สิทธิแห่งเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่จะติดตามเอาทรัพย์สินจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 นั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิติดตามเอารถยนต์คืนจากจำเลยทั้งสองได้อันเป็นการใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดวันที่ 23 มีนาคม 2534 และตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 11 ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดสองงวดติดต่อกัน สัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที สัญญาเช่าซื้อจึงเลิกกัน โจทก์นำคดีมาฟ้องโดยอ้างสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2547 เกินกว่า 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14217/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดร่วมกันของนายจ้าง ตัวการ และลูกจ้าง/ตัวแทน จากการกระทำละเมิดในการซ่อมแซมเรือ
โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัย เรือ พ. จากบริษัท อ. จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองอู่ต่อเรือ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการเรือ พ. มีหน้าที่ดูแลรักษาและซ่อมแซมเรือและเข้าร่วมซ่อมแซมเรือกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับจ้างซ่อมแซมเรือ พ. จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และ/หรือเป็นบุคคลที่จำเลยที่ 1 และ/หรือจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดหาทำการว่าจ้าง วาน ใช้ หรือได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 และ/หรือจำเลยที่ 2 ให้ดำเนินการซ่อมแซมเรือ จำเลยทั้งสามร่วมกันทำละเมิดต่อเจ้าของเรือ พ. โดยจำเลยที่ 3 กระทำโดยประมาททำให้เกิดเพลิงลุกไหม้เรือ พ. จนได้รับความเสียหาย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาที่โจทก์อาศัยเป็นหลักในการกล่าวหาเพื่อขอให้บังคับจำเลยทั้งสามรับผิดต่อโจทก์ ทั้งโจทก์ยืนยันว่าเหตุละเมิดเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ในทางการที่จ้างหรือได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 และ/หรือที่ 2 หากพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วได้ความตามฟ้อง จำเลยที่ 1 และ/หรือที่ 2 ย่อมต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ไม่ว่าในฐานะตัวการตัวแทนหรือนายจ้างลูกจ้าง เนื่องจาก ป.พ.พ. มาตรา 427 ให้นำมาตรา 425 และ 426 ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยความรับผิดของนายจ้างเพื่อผลละเมิดของลูกจ้างซึ่งกระทำไปในทางการที่จ้างบังคับแก่กรณีตัวการตัวแทนโดยอนุโลม ทั้งจำเลยที่ 1 และ/หรือที่ 2 อาจต้องร่วมรับผิดทั้งการกระทำละเมิดและการกระทำผิดสัญญาจ้างซ่อมแซมเรือที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในคราวเดียวกัน ที่โจทก์บรรยายฟ้องมาจึงไม่ได้ขัดแย้งกัน ฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14208/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขอรถยนต์คืนจากสัญญาเช่าซื้อที่เป็นโมฆะ ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อเนื่องจากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ คดีไม่มีประเด็นว่าจำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในเรื่องลาภมิควรได้หรือไม่เพราะโจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้อง ซึ่งต้องไปว่ากล่าวกันอีกต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์ย่อมอาศัยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ติดตามเอารถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 ได้ โดยถือว่าจำเลยที่ 1 ตกอยู่ในฐานะทุจริตนับแต่เวลาที่โจทก์เรียกรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 415 วรรคสอง แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14208/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาเกินคำฟ้องในคดีเช่าซื้อ: สัญญาเป็นโมฆะ ไม่สามารถเรียกคืนทรัพย์ตามสัญญาได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์เพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อได้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในเรื่องลาภมิควรได้หรือไม่เพราะโจทก์ไม่ได้กล่าวมาในคำฟ้อง แม้สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 อาจจะไม่มีสิทธิยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ก็ตาม แต่เป็นเรื่องที่จะต้องพิจารณาตามลักษณะลาภมิควรได้ ซึ่งต้องไปว่ากล่าวกันอีกต่างหาก ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ต่อไป โจทก์ย่อมอาศัยอำนาจแห่งกรรมสิทธิ์ติดตามเอารถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 ได้ โดยถือว่าจำเลยที่ 1 ตกอยู่ในฐานะทุจริตนับแต่เวลาที่โจทก์เรียกรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 415 วรรคสอง แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคารถแทนนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12434/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งไม่อนุญาตเลื่อนคดีและงดสืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยต้องอุทธรณ์หลังมีคำพิพากษา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จำเลยจะอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้จะต้องโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ และต้องอุทธรณ์คำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งระหว่างพิจารณานั้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในส่วนอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไว้ด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ก็ไม่มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบและถือว่าปัญหานี้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 5 การที่จำเลยฎีกาปัญหานี้ขึ้นมาจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง