พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14286/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมีและจำหน่ายยาเสพติดเป็นกรรมเดียว ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุก
การที่จำเลยจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อแล้วก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมทันที เจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นตัวจำเลยพบผงเมทแอมเฟตามีนติดอยู่ในปลอกปากกาที่จำเลยใช้บรรจุเมทแอมเฟตามีน ผงเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีลักษณะเป็นคราบติดอยู่ด้านใน น้ำหนัก 0.01 กรัม ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ไม่ชัดแจ้งว่าเป็นเศษของเมทแอมเฟตามีนจำนวนอื่น ต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าเป็นผงเมทแอมเฟตามีนจากเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่จำเลยจำหน่ายให้แก่สายลับ ดังนี้เมื่อจำเลยมีผงเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับเมทแอมเฟตามีน 1 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายไป จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นความผิดหลายกรรมไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
การที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ถือว่าได้ทำการสอบสวนในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ทั้งความผิดฐานมีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องได้รวมการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
การที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ถือว่าได้ทำการสอบสวนในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ทั้งความผิดฐานมีผงเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องได้รวมการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13813/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและกฎหมายจราจร/ขนส่ง การพิจารณาความผิดกรรมเดียวและความผิดตามกฎหมายที่ลงโทษหนักที่สุด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 ทวิ, 157/1 พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 102 (3 ทวิ), 127 ทวิ ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลย ในความผิดตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษอยู่ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามบทบัญญัติดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะยกฟ้องข้อหาตามพ.ร.บ.จราจรทางบก แต่ก็ยังคงลงโทษจำเลยตามพ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 102 (3 ทวิ), 127 ทวิ วรรคสอง ประกอบพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 91 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์จึงเป็นที่สุด ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 18 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12600/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท – ยาเสพติด: การกระทำความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเป็นกรรมเดียว
การที่จำเลยนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาเพื่อจะส่งมอบให้แก่สายลับ แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบก็ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน ถือได้ว่าจำเลยลงมือกระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผล เนื่องจากถูกจับกุมเสียก่อน การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว ยังเป็นความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11973/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสารราชการเพื่อใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ มีเจตนาเดียวกัน
จำเลยปลอมเอกสารแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์และคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แล้วนำไปใช้แสดงต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เจ้าพนักงานหรือผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง แม้จะเป็นการทำปลอมเอกสารราชการต่างประเภทกันและมีลักษณะการทำปลอมที่แตกต่างกัน แต่การที่จำเลยได้ติดแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์และแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีรถยนต์ปลอมไว้ที่รถยนต์คันเดียวกันแล้วนำคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่ทำปลอมขึ้นไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานในเวลาเดียวกันนั้นแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีเจตนาอย่างเดียวกันเพื่อให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจเอกสารเข้าใจว่าเป็นรถยนต์ที่ได้จดทะเบียนและเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10671/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ฐานประกอบกิจการจำหน่ายภาพยนตร์และวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 หลายกรรมต่างกัน ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตกระทงหนึ่ง ฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวีดิทัศน์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตกระทงหนึ่ง และฐานมีภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาจากคณะกรรมการ ฯ ออกจำหน่ายอีกกระทงหนึ่ง แต่ปรากฏตามคำฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในวันเวลาเดียวกัน โดยมีแผ่นซีดีภาพยนตร์และแผ่นซีดีวีดิทัศน์ของกลางจำนวนเดียวกัน แม้การกระทำนั้นจะเป็นความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายหลายบท แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่จำเลยมีเจตนาเดียว โดยมุ่งประสงค์ต่อผลเดียว คือ เพื่อประกอบกิจการจำหน่ายซีดีภาพยนตร์และซีดีวีดิทัศน์ของกลางในทางการค้าซึ่งได้กระทำไปในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 38 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 79 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียว
ความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีสาระสำคัญของการกระทำผิดอยู่ที่จำเลยประกอบกิจการโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน แผ่นซีดีภาพยนตร์และซีดีวีดิทัศน์ของกลาง จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 32, 33
ความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีสาระสำคัญของการกระทำผิดอยู่ที่จำเลยประกอบกิจการโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียน แผ่นซีดีภาพยนตร์และซีดีวีดิทัศน์ของกลาง จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด หรือเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดอันจะพึงริบตาม ป.อ. มาตรา 32, 33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9433/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดหลายบท: การบรรยายฟ้องรวมความผิดต่อผู้เสียหายหลายคนโดยมีเจตนาเดียวกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยโดยมีเจตนาฆ่าและใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นยิงประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 และที่ 2 จำนวน 2 นัด กระสุนไม่ถูกผู้เสียหายที่ 1 แต่ถูกบริเวณสะโพกผู้เสียหายที่ 2 จำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหายที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 วิ่งหลบหนีได้ทัน ส่วนผู้เสียหายที่ 2 แพทย์ทำการรักษาพยาบาลได้ทันท่วงที ผู้เสียหายทั้งสองจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย แต่เป็นเหตุทำให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นการบรรยายฟ้องมีสาระสำคัญรวมกันมาโดยไม่ได้แยกข้อเท็จจริงของการกระทำที่เกี่ยวกับผู้เสียหายทั้งสองแต่ละคนออกจากกัน ในลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายทั้งสองโดยมีเจตนาเดียวกันและเป็นกรรมเดียวกัน แม้โจทก์จะระบุมาตรา 91 แห่ง ป.อ.ไว้ในคำขอท้ายฟ้องก็ตาม แต่ก็มีความผิดข้อหาอื่นที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยมาในคำฟ้องเดียวกันนี้ด้วย และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการขยายความพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจคำฟ้องของโจทก์แตกต่างไปจากที่โจทก์บรรยายในฟ้องได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9171/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานบุกรุก, ทำลายทรัพย์สิน, และทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: การแยกกระทงความผิดและลงโทษ
โจทก์ฟ้องฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ฐานทำให้เสียทรัพย์ ฐานร่วมกันฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายที่ 1 ทำให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสาม และมีเจตนาเพียงทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 และผู้ตาย การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 6 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทอีกกระทงหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากแยกจากกันได้จากความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8053/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดหลายบท: ลักทรัพย์และสมคบกันเป็นซ่องโจร ศาลอุทธรณ์ลดโทษเหลือโทษหนักสุด
ศาลชั้นต้นลงโทษฐานร่วมกันสมคบกันกระทำอันเป็นซ่องโจร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับฐานร่วมกันลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ซึ่งเมื่อหักโทษความผิดฐานเป็นซ่องโจรออกจากโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดคงจำคุก 4 ปี เป็นกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 5 แก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8053/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษคดีอาญา: ซ่องโจร vs ลักทรัพย์ - การพิจารณาโทษกรรมเดียวและข้อจำกัดในการฎีกา
คดีศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 210, 335 (6) (7) วรรคสอง ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ. มาตรา 91 ฐานร่วมกันสมคบกันกระทำอันเป็นซ่องโจร จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันลักทรัพย์ จำคุกจำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 เมื่อหักโทษความผิดฐานเป็นซ่องโจรออกจากโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด คงจำคุก 4 ปี เป็นกรณีศาลอุทธรณ์ภาค 5 แก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7978-7979/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดฐานทำร้ายร่างกายหลายกรรมต่างกัน การรับฟังรายงานพนักงานคุมประพฤติ
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบเสาะและพินิจจำเลยทั้งสี่เพื่อต้องการทราบข้อเท็จจริงนำมาประกอบดุลพินิจว่าสมควรกำหนดโทษแก่จำเลยทั้งสี่สถานใด เพียงใด และเพื่อกำหนดวิธีการหรือเงื่อนไขอันสมควรและเหมาะสมที่จะปฏิบัติต่อจำเลยทั้งสี่ต่อไปเท่านั้น มิใช่มีคำสั่งให้พนักงานคุมประพฤติสืบพยานว่าจำเลยทั้งสี่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ และการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่เป็นอย่างไร ทั้งศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งให้พนักงานคุมประพฤติปฏิบัติเช่นนั้น แม้ตาม พ.ร.บ.วิธีดำเนินการคุมความประพฤติตาม ป.อ.ฯ มาตรา 13 ศาลจะมีอำนาจรับฟังรายงานของพนักงานคุมประพฤติตามมาตรา 11 โดยไม่ต้องมีพยานบุคคลประกอบก็ตาม แต่เป็นการรับฟังเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องโทษและวิธีการที่จะดำเนินการแก่จำเลยทั้งสี่เท่านั้น มิได้เป็นการรับฟังในฐานะเป็นพยานหลักฐานที่จะนำมาวินิจฉัยการกระทำที่จำเลยทั้งสี่มีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งห้าโดยรวม ไม่ได้แยกว่าใครเป็นใคร อันเป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวกัน เป็นความผิดกรรมเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 นั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งสี่กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหลายกรรมต่างกันซึ่งความผิดทั้งห้าฐานเป็นคนละขั้นตอน อีกทั้งจำเลยทั้งสี่ก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนากระทำความผิดต่อผู้เสียหายทั้งห้าแยกออกจากกัน การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91