คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นและการครอบครองรังนกที่ได้มาจากการกระทำผิด ถือเป็นคนละกรรม
พระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ. 2482 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุมาตรา 5,7 และ 9 ห้ามกระทำความเสียหายแก่รังนกอีแอ่นห้ามเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและห้ามมีไว้ในครอบครองซึ่งรังนกอีแอ่นที่ได้มาโดยฝ่าฝืนข้อห้ามดังกล่าว จำเลยเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงมีความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายเป็นความผิดสำเร็จทันที ที่จำเลยเข้าเก็บรังนกอีแอ่น และเป็นการกระทำความเสียหายแก่รังนกอีแอ่นไปพร้อมกันด้วย จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ส่วนที่จำเลยครอบครองรังนกอีแอ่นที่ได้มาจากการกระทำผิดต่อมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและแยกเป็นคนละส่วนจากการกระทำผิดครั้งแรกได้ จึงถือได้ว่าจำเลยกระทำผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการกระทำผิดข้างต้นจึงเป็นการกระทำผิดต่างกรรมกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นและครอบครองรังนกที่ได้จากการกระทำผิด: กรรมเดียวผิดหลายบท vs. หลายกรรมต่างกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขึ้นไปบนเกาะสัมปทานรังนกอีแอ่นของผู้อื่น แล้วใช้ไม้และเหล็กแทงรังนกอีแอ่นซึ่งติดอยู่กับผนังถ้ำให้หลุดออก และลักเอาไป หลังจากนั้นจำเลยได้ครอบครองรังนกอีแอ่นที่ร่วมกันลักไป ซึ่งตามพ.ร.บ. อากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.2482 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุมาตรา 5, 7 และ 9 ห้ามกระทำความเสียหายแก่รังนกอีแอ่น ห้ามเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และห้ามมีไว้ในครอบครองซึ่งรังนกอีแอ่นที่ได้มาโดยฝ่าฝืนกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายซึ่งเป็นความผิดสำเร็จทันทีที่จำเลยเข้าเก็บรังนกอีแอ่น และการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำให้เกิดความเสียหายแก่รังนกอีแอ่นที่มีอยู่ตามธรรมชาติตามที่กฎหมายห้ามไว้ไปพร้อมกันด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ.มาตรา 90 ส่วนที่จำเลยครอบครองรังนกอีแอ่นที่ได้มาจากการกระทำความผิดต่อมาเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังและแยกเป็นคนละส่วนจากการกระทำผิดครั้งแรกได้ จึงถือได้ว่า จำเลยกระทำผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหากจากการกระทำความผิดข้างต้น จึงเป็นความผิดต่างกรรมกันตาม ป.อ.มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกง vs. พ.ร.บ.จัดหางาน แม้ผู้เสียหายถอนฟ้องฉ้อโกง แต่คดี พ.ร.บ.จัดหางานยังดำเนินต่อไปได้
ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกันแล้วย่อมทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ด้วย อันเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งศาลได้ลงโทษในความผิดฐานนี้ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกันก็ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ระงับไป คงระงับไปเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฉ้อโกง vs. จัดหางานผิดกฎหมาย: การยอมความเฉพาะความผิดส่วนตัว
ความผิดฐานฉ้อโกง เป็นความผิดต่อส่วนตัว เมื่อผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หรือยอมความกันแล้วย่อมทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ด้วย อันเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว และความผิดฐานดังกล่าวซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว แม้ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ หรือยอมความกันก็ไม่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานนี้ ระงับไป คงระงับไปเฉพาะความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รอการลงโทษจำคุกคดีทำไม้ฐานความผิดไม่ร้ายแรงและแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดได้
ไม้สักแปรรูปที่เจ้าพนักงานยึดเป็นของกลางในคดีนี้มีจำนวนเพียง 1 แผ่น ปริมาตร 0.268 ลูกบาศก์เมตร เท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงนักประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ยังอยู่ในวิสัยที่พนักงานคุมประพฤติจะแก้ไขฟื้นฟูให้จำเลยที่ 1 กลับตัวเป็นพลเมืองดีได้ กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 58 และเนื่องจากการรอการลงโทษด้วยเหตุสภาพแห่งความผิดและพฤติการณ์ตามรูปคดีดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนเช่นกัน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาให้ได้รับการรอการลงโทษจำคุกดุจจำเลยที่ 1 ผู้ฎีกาด้วยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225 ป.อ. มาตรา 89
ความผิดฐานทำไม้เป็นความผิดทั้งตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ และ พ.ร.บ.ป่าสงวนฯ อันเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษบทหนักตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 73 วรรคสอง (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เอกสารปลอมเพื่อเปลี่ยนแปลงกรรมการบริษัท ความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิและเอกสารปลอม
สำเนารายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งทำปลอมขึ้นโดยระบุให้จำเลยผู้เดียวมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราของบริษัทลงชื่อผูกพันบริษัทเป็นหลักฐานเพื่อระงับสิทธิของโจทก์ร่วม ในการร่วมลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9)
คำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท เป็นเพียงเอกสารที่แจ้งความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขให้ตามรายการที่ขอและหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารที่บุคคลหนึ่งระบุมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจทำกิจการใดแทนตนเท่านั้น เอกสารทั้งสองฉบับมิใช่หลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ จึงมิใช่เอกสารสิทธิ
จำเลยยื่นเอกสารปลอม 3 ฉบับ ประกอบกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยมีเจตนาเดียวเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการจดทะเบียนแก้ไขจำนวนกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัท จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
ปัญหาการปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยอื่น ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกสาธารณสมบัติ การก่อสร้างบนที่ดินสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้มีการรื้อถอนแล้วก็ยังถือเป็นความผิด
แม้ทางราชการมิได้ใช้ที่ดินพิพาทที่ได้รับการให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ทำการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาตามความประสงค์ของผู้ให้ ก็ไม่ได้ทำให้จำเลยทั้งสองเกิดสิทธิที่จะบุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทก่อสร้างอาคารหรือปลูกสร้างท่าจอดเรือลงในแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้อาคารที่ก่อสร้างจะถูกรื้อไปแล้วก็ไม่ทำให้ความผิดที่เกิดขึ้นสำเร็จแล้วกลายเป็นไม่ผิด การกระทำของบริษัทจำเลยที่ 2 ที่กระทำลงไปนั้น จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการต้องร่วมรับผิดในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง และ ป.อ. มาตรา 360 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 360 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8214/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานจำหน่ายและมีเมทแอมเฟตามีนครอบครอง ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง และจำเลยได้จำหน่าย เมทแอมเฟตามีนของกลางดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อ และเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบทความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอีก พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง เพียงบทเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน ขอให้ยกฟ้อง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมิได้กระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจริง ตามฟ้องและพิพากษายืน ดังนี้ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว
พยานโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะสมคบกันมาเบิกความกลั่นแกล้งจำเลยให้ต้องรับโทษ ทั้งพยานโจทก์ดังกล่าวก็ เบิกความได้สอดคล้องต้องกันในข้อสาระสำคัญ และมีเหตุผลติดต่อเชื่อมโยงกันมาเป็นลำดับ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ
ที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมก็มีเหตุผลน่าเชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้โดยกะทันหันพร้อมด้วยธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลางกับมีผู้มาชี้ตัวยืนยันความผิดของจำเลย จำเลยยังไม่มีโอกาสคิดไตร่ตรองหาข้อแก้ตัวได้ทันในขณะนั้น จึงต้องให้การรับสารภาพไปตามความสัตย์จริง ที่จำเลยเบิกความ อ้างลอย ๆ ว่า เจ้าพนักงานตำรวจบังคับให้จำเลยลงชื่อในบันทึกการตรวจค้นและจับกุม ทั้งมิได้ถามค้านพยานโจทก์ ผู้ทำบันทึกการจับกุมให้ข้อนี้ไว้จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์นำ อ. ผู้ซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยมาเป็นประจักษ์พยานเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลย อ. ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุผลใดที่ อ. จะต้องให้การต่อพนักงานสอบสวนปรักปรำจำเลย ทั้ง อ. ก็ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง ยังไม่ทันมีโอกาสคบคิดกับผู้หนึ่งผู้ใดให้การช่วยเหลือหรือปรักปรำจำเลยได้ ที่ อ. เบิกความในชั้นพิจารณาในทำนองว่า ข้อเท็จจริงตามบันทึกคำให้การดังกล่าวไม่เป็นความจริง เป็นการเบิกความอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้
โจทก์มีพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความรับรองว่า ชั้นสอบสวน อ. ได้ให้การไว้จริง พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ทั้งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะปรุงแต่งเรื่องราวตามบันทึกคำให้การขึ้นมาเอง พนักงานสอบสวนได้บันทึกคำให้การของ อ. ไปตามที่ อ. ให้การเองโดยสมัครใจ การที่ อ. พยานโจทก์มาเบิกความต่อศาลบิดเบือนข้อเท็จจริงในบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองเป็นอย่างอื่นให้เป็นประโยชน์แก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือจำเลยในภายหลัง จึงไม่ควรนำคำเบิกความของ อ. มาฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลยหรือฟังเป็นข้อพิรุธทำลายน้ำหนักคำเบิกความของพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลย
การวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแห่งคดี เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง ในสำนวนว่าข้อใดควรรับฟังได้เพียงใดหรือไม่ หาใช่พยานเบิกความอย่างไร แล้วศาลจะต้องรับฟังเสมอไปไม่ แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. จะเป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดในมูลคดีเรื่องเดียวกันก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังทั้งมิใช่คำซัดทอดผู้อื่นเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด ศาลจึงรับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. ประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้
ในวันเกิดเหตุ อ. ได้ให้การต่อพยานโจทก์ผู้จับกุม จำเลยซัดทอดว่าจำเลยเป็นผู้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ อ. ทันที จึงเป็นเบาะแสไปสู่การตรวจค้นบ้านของจำเลยจนพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อบางส่วนเป็นของกลาง การที่ พยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยตรวจค้นพบธนบัตรที่ใช่ล่อซื้อบางส่วนตกมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของจำเลยนั้น จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนคำให้การในชั้นสอบสวนของ อ. ประจักษ์พยานโจทก์มีน้ำหนักอันควรแก่การรับฟังยิ่งขึ้น
พนักงานสอบสวนพยานโจทก์เบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานได้รับตัวจำเลยพร้อมของกลางจากพยานโจทก์ ผู้จับกุมจำเลยเมื่อเวลา 22 นาฬิกาเศษ ซึ่งห่างจากเวลาตรวจค้นและจับกุมจำเลยนานถึง 5 ชั่วโมงเศษ เหตุดังกล่าว น่าจะเป็นเพียงความล่าช้าในการปฏิบัติงานของผู้จับกุมจำเลยเท่านั้น ไม่น่าจะเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทำให้ น่าสงสัยว่าจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม
แม้ปรากฏว่ามีการลงบันทึกเกี่ยวกับธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีคลาดเคลื่อนไป แต่ จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาเมื่อนำมาฟังประกอบกันแล้ว มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยได้จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่ อ. จริงตามฟ้อง ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยได้
ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ยาเสพติด- ให้โทษ พ.ศ. 2522 เป็นความผิดที่มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกจากกัน จึงเป็นความผิดคนละบทหรือคนละกรรมกันแล้วแต่กรณี เมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครอง จำนวน 94 เม็ด น้ำหนักรวม 8,420 กรัม และจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกันและจำเลยได้จำหน่ายหมดไปในคราวเดียวกันโดย ไม่มีเหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยอีก จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขปรับบทลงโทษจำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8204/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสารเพื่อยักยอกเงิน ศาลแก้ไขโทษ
การที่จำเลยปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม กับปลอมและใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอมถอนเงินเกินกว่าจำนวนที่จำเลยได้รับมอบฉันทะแล้วยักยอกเอาเงินส่วนที่เกินไป ก็เพื่อเจตนาจะยักยอกเงินส่วนที่เกินจากธนาคารและแสดงต่อผู้เสียหายนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7954/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษผู้ขับรถที่เสพยาเสพติดขณะปฏิบัติหน้าที่: การพิจารณาบทลงโทษตามกฎหมายจราจรและกฎหมายยาเสพติด
จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถซึ่งขณะที่จำเลยกระทำความผิดนี้ มีพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก(ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ยกเลิกความในมาตรา 127 ทวิ เดิมและให้เพิ่มความในวรรคสองของมาตรา 127 ทวิ ว่า "ผู้ได้รับใบอนุญาตปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประจำรถผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 102(3 ทวิ) หรือ (3 ตรี)ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณีแต่ถ้าผู้นั้นเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ หรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแล้วแต่กรณี อีกหนึ่งในสาม" จึงต้องลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 127 ทวิ วรรคสอง
of 173