คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3889/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดเดียว – นำเข้าและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย
จำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ประเทศสหภาพพม่ามาแล้วนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจจับได้จากจำเลยเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายดังกล่าวเป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3889/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: นำเข้าและมีไว้เพื่อจำหน่ายยาเสพติดกระทำพร้อมกัน
จำเลยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ประเทศสหภาพพม่า มาแล้วนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจจับได้จากจำเลยเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและนำเมทแอมเฟตามีนของกลางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายดังกล่าวเป็นการกระทำคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดเพียงกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์: สัญญาจ้างไม่สมบูรณ์ ผู้รับจ้างเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ และการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการโฆษณา
งานสร้างสรรค์ที่ผู้รับจ้างทำขึ้นมาจะตกเป็นลิขสิทธิ์ของผู้ว่าจ้างก็ต่อเมื่อการว่าจ้างนั้นมีผลสมบูรณ์ผูกพันกันโดยชอบ โจทก์สร้างสรรค์งานภาพเขียนขึ้น แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่ามีเหตุมาจากการที่จำเลยมาติดต่อกับโจทก์เพื่อให้โจทก์จัดทำป้ายโฆษณาการคล้องช้างในงานอยุธยามรดกโลกก็ตาม แต่ในชั้นแรกโจทก์กับจำเลยยังไม่ได้ตกลงกันในเรื่องราคาค่าจ้างรวมทั้งรายละเอียดของภาพโฆษณา ต่อมาโจทก์ได้เขียนภาพต้นแบบขึ้นนำไปให้จำเลยพิจารณาจำเลยก็ขอให้ปรับปรุงรายละเอียดบางประการ จากนั้นโจทก์จึงเสนอราคาค่าจ้างแต่จำเลยเห็นว่าแพงไปและตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงไม่ว่าจ้างโจทก์ทำป้ายโฆษณา ดังนี้ แสดงให้เห็นว่าโจทก์กับจำเลยยังตกลงกันในเรื่องสาระสำคัญของสัญญาไม่ได้ การว่าจ้างหรือสัญญาจ้างทำของระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เกิดขึ้น จำเลยจึงไม่ได้เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ งานสร้างสรรค์ภาพ "พิธีคล้องช้าง" ที่โจทก์ทำขึ้นจึงหาตกเป็นลิขสิทธิ์ของจำเลยตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ไม่ แต่เป็นลิขสิทธิ์ของโจทก์เพียงผู้เดียว
ได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นเพียงการกระทำเพื่อโฆษณาให้มีผู้มาเที่ยวงานอยุธยามรดกโลก แม้จำเลยจะได้ผลประโยชน์จากการที่มีผู้มาเที่ยวงานชมพิธีการคล้องช้างของจำเลยก็ตาม จำเลยก็มิได้นำภาพการคล้องช้างในป้ายโฆษณาที่จำเลยได้ดำเนินการจัดทำขึ้นไปทำการค้าขายหากำไรโดยตรง การกระทำของจำเลยยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์เพื่อการค้าตาม พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 69 วรรคสอง จึงปรับบทลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา 69 วรรคแรก เท่านั้น
แม้ภาพการคล้องช้างที่จำเลยดำเนินการจัดทำเป็นป้ายโฆษณานำไปติดตั้งโฆษณานั้นจะมีถึง 4 ป้าย ด้วยกัน แต่ในการจัดทำป้ายโฆษณาทั้ง 4 ป้าย และนำไปติดตั้งโฆษณา 4 แห่ง นั้น จำเลยมีวัตถุประสงค์เดียวคือ เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานอยุธยามรดกโลก จึงเป็นกรณีมีเจตนาละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยเจตนาเดียวเท่านั้น เพียงแต่ได้มีการทำป้ายโฆษณาเพื่อนำออกโฆษณาเผยแพร่หลายแผ่นป้ายด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801-2802/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความ ‘เครื่องกระสุนปืน’ และความผิดฐานผลิต/ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์/อาวุธปืน: ความผิดหลายกรรมต่างกัน
แม้ลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 อยู่ในสภาพใช้การไม่ได้เพราะไม่ได้บรรจุชนวนถูกทำลายและวัตถุระเบิด ไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนก็ตาม แต่ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้ตรวจพิสูจน์ว่า ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ จึงต้องฟังว่าลูกระเบิดดังกล่าวใช้การได้ ทั้ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4(2) หาได้บัญญัติว่าลูกระเบิดที่จะเป็นเครื่องกระสุนปืนตามบทวิเคราะห์ศัพท์จะต้องทำอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้จึงจะเป็นเครื่องกระสุนปืนไม่ดังนั้น เมื่อเป็นลูกระเบิดที่ใช้การได้ แม้จะไม่มีอานุภาพทำลายล้างไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
การมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่งย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และความผิดสองฐานนี้แยกออกได้จากการกระทำผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้ครอบครองในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับที่มีไว้ในครอบครองเพื่อขายแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษเป็นสองกรรมแต่การกระทำในส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801-2802/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานผลิตและมีวัตถุออกฤทธิ์, ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย, และการลงโทษหลายกรรม
จำเลยทั้งสองเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน จำเลยที่ 1 ผสมเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 ช่วยส่งถังน้ำและหยิบของในถุงส่งให้ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่ยึดได้มีทั้งที่ผลิตสำเร็จอัดเป็นเม็ดแล้วยังเป็นผลึกและยังเป็นของเหลวอยู่ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลาง
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนมาก ซึ่งได้มาจากการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย และมีที่เป็นเม็ดแล้ว และที่เป็นผลึกและน้ำยาตกผลึกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกำลังผสมเป็นของเหลวอีกประกอบกับจำเลยมีซองพลาสติกกับถุงพลาสติกในขนาดต่าง ๆ ที่จำเลยมีไว้สำหรับบรรจุเมทแอมเฟตามีนออกขาย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อขาย
ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(2)
ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ การมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า มีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้จำเลยจะมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกัน และพร้อมกับที่จำเลยผลิตและมีเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายบางส่วนมิใช่เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิต และลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การผลิตและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ แม้แยกฟ้องเป็นข้อๆ ก็ตาม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยผลิตอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันส่วนอีเฟดรีนชนิดผงนั้น แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายก็ตามแต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิต จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีน) ในวาระเดียวกัน ถือเป็นกรรมเดียว
เมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างก็เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ. 2539) ซึ่งกำหนดให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ลำดับที่ 20 ส่วนเฮโรอีนอยู่ในลำดับที่ 14 เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีวัตถุแห่งการกระทำความผิดดังกล่าวไว้ในครอบครองในวาระเดียวกัน ดังนั้น แม้วัตถุแห่งการกระทำความผิดจะต่างชนิดกันแต่ก็ต่างเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ด้วยกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระ และการใช้ข้อเท็จจริงจากการสืบเสาะพินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้องไม่
ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรมเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การมี-ใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต และการรบกวนสัญญาณ การลงโทษและการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกง โดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) แล้วใช้แสดงใบสินค้าต่อพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 โดยแสดงตนเป็นคนอื่นนั้น ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นตามมาตรา 342 (1)
of 173