พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2108/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดขับรถขณะเสพยาเสพติด: บทลงโทษตามกฎหมายขนส่งทางบกที่แก้ไขแล้ว
การที่จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีนในขณะปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุก จำเลยย่อมมีความผิดฐาน เสพเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานเป็นผู้ประจำรถเสพเมทแอมเฟตามีนขณะปฏิบัติหน้าที่เป็น ผู้ประจำรถ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตาม พ.ร.บ. การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90 เนื่องจากในวันที่จำเลยกระทำความผิดนั้น พ.ร.บ. การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 127 ทวิ วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. การขนส่งทางบก (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2542 มาตรา 6 ใช้บังคับแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลยืนโทษฐานความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11,73 วรรคสอง และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 วรรคสอง กับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง ต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แม้จำเลยกระทำความผิดในวันเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน สำหรับความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14,31 เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดต่างกรรมกันกับความผิดสองกรรมดังกล่าวมาข้างต้น จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา 14,31 วรรคหนึ่ง เท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา 14,31 วรรคหนึ่ง เท่านั้น การที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1566/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวน, ครอบครองไม้หวงห้าม และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวน ถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง(2)และ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง กับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูป โดยไม้ดังกล่าวไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายและพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ไม้ดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 วรรคสอง ต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัวเอง แม้จำเลยกระทำความผิดในวันเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน สำหรับความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 มาตรา 14, 31 เป็นความผิดสำเร็จทันทีที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นความผิดต่างกรรมกันกับความผิดสองกรรมดังกล่าวมาข้างต้น จึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ.มาตรา 91
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง เท่านั้นการที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจนศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้ว จึงต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15
โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติว่า จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยทำไร่และทำคอกเลี้ยงโค กระบือ เนื้อที่จำนวน 5 ไร่ อันเป็นการทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เป็นการบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง เท่านั้นการที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดฐานเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นมาตรา 31 วรรคหนึ่ง เป็นการไม่ชัดเจนศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1532/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับเงินเกินกำหนดเพื่อการจดทะเบียนที่ดิน และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับคำขอต่าง ๆ เกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมที่ดินทุกประเภท รวมทั้งงานในด้านเกี่ยวกับการเงินและบัญชี โดยมีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องการกรอกข้อความในเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องของหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน แล้วนำเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ทั้งได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมาก่อนเกิดเหตุนานประมาณ 7 ปี จำเลยย่อมทราบและคำนวณค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนที่ดินในพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบเป็นอย่างดี การที่จำเลยเรียกหรือรับเงินจำนวน 7,800 บาท ไว้แล้วนิ่งเฉยเสีย แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาเรียกหรือรับเอาเงินส่วนที่เกินไว้สำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการในตำแหน่ง จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
จำเลยพร้อมที่จะเสนอเรื่องราวขอจดทะเบียนขายที่ดินระหว่าง น. กับ ส. ต่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินเพื่อดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยกลับละเว้นไม่ดำเนินการนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมา ดังนั้น ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินสำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เมื่อปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
เมื่อจำเลยได้กรอกข้อความลงในใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ตามความเป็นจริง ตรงตามเจตนาของผู้ซื้อผู้ขายที่ดินทุกประการ และตราประทับของกระทรวงมหาดไทยก็ถูกต้อง เพียงแต่ยังไม่มีลายมือชื่อ นายอำเภอและยังมิได้ลงวันที่และเดือนที่ออกใบแทนฯ เท่านั้น เอกสารดังกล่าว จึงมิใช่เอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นโดยมีเจตนาจะลอกเลียนแบบหรือปลอมเอกสาร ต้นฉบับ ๆ หนึ่งฉบับใด เป็นเพียงแต่เอกสารยังลงรายการไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามระเบียบของทางราชการเท่านั้น และการที่นายอำเภอในฐานะเป็น เจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้ลงชื่อรับรองเอกสารกับการที่ยังมิได้ลงวันเดือนปี ที่ออกเอกสาร ก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้ผู้พบเห็นเอกสารจะหลงเชื่อว่าเป็น เอกสารที่ถูกต้องแท้จริงที่ทางราชการออกให้ไปได้ การกระทำของจำเลย ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารจึงไม่เป็นความผิดฐาน ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 ประกอบด้วยมาตรา 266(1)
จำเลยพร้อมที่จะเสนอเรื่องราวขอจดทะเบียนขายที่ดินระหว่าง น. กับ ส. ต่อเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินเพื่อดำเนินการต่อไปตามอำนาจหน้าที่ แต่จำเลยกลับละเว้นไม่ดำเนินการนับแต่วันดังกล่าวเป็นต้นมา ดังนั้น ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สินสำหรับตนเองโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เมื่อปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่จำต้องปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบททั่วไปอีก
เมื่อจำเลยได้กรอกข้อความลงในใบแทนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ตามความเป็นจริง ตรงตามเจตนาของผู้ซื้อผู้ขายที่ดินทุกประการ และตราประทับของกระทรวงมหาดไทยก็ถูกต้อง เพียงแต่ยังไม่มีลายมือชื่อ นายอำเภอและยังมิได้ลงวันที่และเดือนที่ออกใบแทนฯ เท่านั้น เอกสารดังกล่าว จึงมิใช่เอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นโดยมีเจตนาจะลอกเลียนแบบหรือปลอมเอกสาร ต้นฉบับ ๆ หนึ่งฉบับใด เป็นเพียงแต่เอกสารยังลงรายการไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามระเบียบของทางราชการเท่านั้น และการที่นายอำเภอในฐานะเป็น เจ้าพนักงานที่ดินยังมิได้ลงชื่อรับรองเอกสารกับการที่ยังมิได้ลงวันเดือนปี ที่ออกเอกสาร ก็ไม่มีเหตุที่จะทำให้ผู้พบเห็นเอกสารจะหลงเชื่อว่าเป็น เอกสารที่ถูกต้องแท้จริงที่ทางราชการออกให้ไปได้ การกระทำของจำเลย ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารจึงไม่เป็นความผิดฐาน ปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 ประกอบด้วยมาตรา 266(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองและจำหน่าย ศาลฎีกาแก้ไขโทษและคำสั่งริบของกลาง
เมื่อเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนต่างเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เหมือนกัน การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองและมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 ส่วนธนบัตรของกลางไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาเพราะกระทำความผิดคดีนี้ จึงไม่อาจริบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนหน้าเสียโฉม ถือเป็นอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4)
จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายร่วมกับพวกกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง ตามเอกสารใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลฉีกขาดที่ใบหน้าและศีรษะ สำหรับบาดแผลที่ใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาดยาว 6 เซนติเมตร และขนาดยาว 5 เซนติเมตร บาดแผลที่ใบหน้าของผู้เสียหายที่ 2 ถูกขวดเบียร์แตกที่ก้นขวดแทง ต้องเย็บถึง 100 เข็ม หลังเกิดเหตุ 20 วัน ก็ยังสามารถมองเห็นบาดแผลดังกล่าวได้ชัดในระยะ 5 เมตร แม้จะทำศัลยกรรมตบแต่งบนใบหน้าก็ไม่สามารถทำให้หายเป็นเนื้อปกติได้ แต่จะจางลง และในวันที่ศาลชั้นต้นดูรอยแผลเป็นของผู้เสียหายที่ 2 เป็นวันที่ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ 8 เดือนเศษ ก็ยังปรากฏรอยแผลเป็นให้เห็นได้ชัดย่อมฟังได้ว่า แผลที่ใบหน้าด้านซ้ายของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297(4) แล้ว จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,295,297(4) และให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4) ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1094/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนหน้าเสียโฉม ถือเป็นอันตรายสาหัส จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายร่วมกับพวกกระทำผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง ตามเอกสารใบชันสูตรบาดแผลของแพทย์ระบุว่า ผู้เสียหายที่ 2มีบาดแผลฉีกขาดที่ใบหน้าและศีรษะ สำหรับบาดแผลที่ใบหน้ามีบาดแผลฉีกขาดที่แก้มซ้ายขนาดยาว 6 เซนติเมตร และขนาดยาว 5 เซนติเมตร บาดแผลที่ใบหน้าของผู้เสียหายที่ 2 ถูกขวดเบียร์แตกที่ก้นขวดแทง ต้องเย็บถึง 100 เข็ม หลังเกิดเหตุ 20 วันก็ยังสามารถมองเห็นบาดแผลดังกล่าวได้ชัดในระยะ 5 เมตร แม้จะทำศัลยกรรมตบแต่งบนใบหน้าก็ไม่สามารถทำให้หายเป็นเนื้อปกติได้ แต่จะจางลง และในวันที่ศาลชั้นต้นดูรอยแผลเป็นของผู้เสียหายที่ 2 เป็นวันที่ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความห่างจากวันเกิดเหตุประมาณ 8 เดือนเศษ ก็ยังปรากฏรอยแผลเป็นให้เห็นได้ชัดย่อมฟังได้ว่า แผลที่ใบหน้าด้านซ้ายของผู้เสียหายที่ 2 ทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวเป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297 (4) แล้ว จำเลยทั้งสามจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295, 297 (4) และให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 297 (4) ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษฐานเล่นการพนัน และการพิจารณาเหตุรอการลงโทษตามประวัติและพฤติการณ์
พระราชบัญญัติการพนันฯ มาตรา 12(1) ได้กำหนดโทษผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันตามบัญชี ก. หมายเลข 11 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปจนถึง 3 ปี และปรับตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปจนถึง5,000 บาท เว้นแต่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้าให้จำคุกไม่เกิน3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการแยกบทกำหนดโทษสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่ไม่ได้เรียกว่าลูกค้าเป็นบทหนึ่ง และสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้าเป็นอีกบทหนึ่ง การที่จำเลยทั้งยี่สิบสองคนเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง จำเลยทั้งยี่สิบสองก็มีเพียงเจตนาเดียว คือ เข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นการพนันป๊อกแปดเก้า การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองคือ ความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ การที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษจำเลยทั้งยี่สิบสองในความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็นผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง รวม 2 กระทงนั้นเป็นการไม่ชอบและเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยอื่น ๆ ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 7, ที่ 14 และที่ 16 กับพวกได้พร้อมอุปกรณ์การเล่นการพนันหลายรายการและยึดเงินสดที่ใช้เอาออกพนันได้ถึง 68,860 บาท แสดงว่าเป็นการพนันวงใหญ่ เล่นได้เสียกันเป็นจำนวนมาก ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับก่อนคดีนี้จำเลยที่ 7 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกและปรับฐานร่วมกันเล่นการพนันป๊อกแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาตและศาลชั้นต้นเคยปรานีรอการลงโทษ แต่จำเลยที่ 7 ยังมากระทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำอีกภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 7 ส่วนจำเลยที่ 14 และที่ 16ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งและต่างก็ต้องเลี้ยงดูภรรยาซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพและบุตรซึ่งอยู่ในวัยศึกษาอีกคนละ 3 คน กรณีมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี สมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสอง
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 7, ที่ 14 และที่ 16 กับพวกได้พร้อมอุปกรณ์การเล่นการพนันหลายรายการและยึดเงินสดที่ใช้เอาออกพนันได้ถึง 68,860 บาท แสดงว่าเป็นการพนันวงใหญ่ เล่นได้เสียกันเป็นจำนวนมาก ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องร้ายแรง ประกอบกับก่อนคดีนี้จำเลยที่ 7 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกและปรับฐานร่วมกันเล่นการพนันป๊อกแปดเก้าโดยไม่ได้รับอนุญาตและศาลชั้นต้นเคยปรานีรอการลงโทษ แต่จำเลยที่ 7 ยังมากระทำความผิดอย่างเดียวกันซ้ำอีกภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีก่อนจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษจำเลยที่ 7 ส่วนจำเลยที่ 14 และที่ 16ไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน อีกทั้งมีอาชีพการงานเป็นหลักแหล่งและต่างก็ต้องเลี้ยงดูภรรยาซึ่งไม่ได้ประกอบอาชีพและบุตรซึ่งอยู่ในวัยศึกษาอีกคนละ 3 คน กรณีมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยทั้งสองกลับตัวเป็นพลเมืองดี สมควรรอการลงโทษจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเป็นเจ้ามือและผู้เล่นพนัน: ศาลฎีกาแก้ไขการเรียงกระทงความผิดเป็นกรรมเดียว
พ.ร.บ. การพนันฯ มาตรา 12(1) ตามบัญชี ก. หมายเลข 11 แยกบทกำหนดโทษสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่ไม่ได้เรียกว่าลูกค้าเป็นบทหนึ่ง และสำหรับผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันที่เรียกว่าลูกค้าเป็นอีกบทหนึ่ง การที่จำเลยทั้งยี่สิบสองคนเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันป๊อกแปดเก้าโดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเป็น ผู้เล่นหรือลูกค้าคนแทง จำเลยทั้งยี่สิบสองก็มีเพียงเจตนาเดียวคือเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันป๊อกแปดเก้า การกระทำของจำเลยทั้งยี่สิบสองจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องใช้กฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองคือความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้
การที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยอื่น ๆ ที่มิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
การที่ศาลล่างทั้งสองเรียงกระทงลงโทษแก่จำเลยทั้งยี่สิบสองเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและเนื่องจากเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีจึงให้มีผลถึงจำเลยอื่น ๆ ที่มิได้ฎีกาด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกรรมเดียวผิดหลายบท: พยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่น
โจทก์ฟ้องในข้อ 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมแล้วแยกการกระทำเป็นข้อ ก. และข้อ ข. โดยข้อ ก.เป็นเรื่องพาอาวุธปืน ข้อ ข.เป็นเรื่องพยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกัน โดยบรรยายว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัด กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย และกระสุนปืนที่จำเลยยิงดังกล่าวยังไปถูกผู้ตายหลายแห่งแสดงว่า มีการยิงผู้เสียหายและผู้ตายหลายนัดในคราวเดียวโดยกระทำต่อเนื่องกัน โจทก์รวมการกระทำเหล่านี้ไว้ในฟ้องข้อ ข. โดยถือเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิด 2 กรรม คือพาอาวุธปืนกรรมหนึ่ง พยายามฆ่าผู้เสียหายและฆ่าผู้ตายรวมกันมาอีกกรรมหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายและฐานฆ่าผู้ตายแยกออกจากกันเป็น 2 กรรมจึงเป็นการลงโทษเกินฟ้อง อันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้ถูกต้องเป็นว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าและฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 288อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90