คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3677/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงโดยหลอกลวงเกี่ยวกับทรัพย์สินและหนี้สิน ศาลแก้ไขคำพิพากษาให้ลงโทษกรรมเดียว
จำเลยขอกู้เงินจากผู้เสียหายโดยหลอกลวงว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีบ้านปลูกอยู่ 1 หลังซึ่งความจริงไม่มีบ้านปลูกอยู่ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงให้จำเลยกู้ยืมเงินไป และรับจำนองที่ดินของจำเลยเป็นประกันเงินกู้ ต่อมาโดยการหลอกลวงของจำเลย ผู้เสียหายได้ยอมรับเอาที่ดินดังกล่าวหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ยืมโดยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองบ้านและที่ดินแล้วทำเป็นสัญญาซื้อขายระหว่างผู้เสียหายกับจำเลย ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งหมด การกระทำของจำเลยในครั้งหลังไม่ได้มีการกล่าวข้อความหลอกลวงใด ๆ ขึ้นใหม่ เป็นเพียงผลต่อเนื่องจากการกระทำครั้งแรก โดยมีเจตนาอันเดียวกันเพื่อให้ได้รับเงินที่กู้ยืมไปจากผู้เสียหายการกระทำของจำเลยถึงจะต่างวาระกันก็เป็นความผิดกรรมเดียว ปัญหาดังกล่าวแม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจที่จะแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3447/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และเล่นการพนัน: การพิจารณาโทษและมาตรการคุมประพฤติ
การที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้และร่วมเล่นกับจำเลยอื่นด้วยนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมกับของกลางเพียงเล็กน้อย แม้จะจับผู้ร่วมเล่นการพนันได้ถึง 19 คน แต่การเล่นพนันดังกล่าวไม่มีลักษณะเป็นบ่อนการพนันขนาดใหญ่ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงยังอยู่ในเพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับประพฤติตนเป็นคนดีและประกอบสัมมาชีพหาเลี้ยงครอบครัวต่อไป แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 เข็ดหลาบยิ่งขึ้นสมควรกำหนดระยะเวลาในการรอการลงโทษให้นานขึ้นและกำหนดมาตรการในการคุมความประพฤติเสียใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3315/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ประมาทขับรถในขณะเมาสุรา ทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลลงโทษตามบทหนัก
การที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุราอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (2), 160 วรรคสาม กับการที่จำเลยขับรถยนต์ฝ่าฝืนกฎจราจรย้อนทางลงทางด่วนขึ้นไปในขณะเมาสุรา ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยไปชนรถยนต์ของผู้เสียหายและทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 300 และพ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4), 157 เมื่อเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว ต้องลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 300 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3315/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ประมาทขับรถขณะเมาสุรา ชนผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส
การที่จำเลยขับรถในขณะเมาสุราอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(2),160 วรรคสาม กับการที่จำเลยขับรถยนต์ฝ่าฝืนกฎจราจรย้อนทางลงทางด่วนขึ้นไปในขณะเมาสุรา ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยไปชนรถยนต์ของผู้เสียหายและทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),157 เมื่อเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันและเป็นผลโดยตรงที่ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสจึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท แจ้งความเท็จขอใบแทนโฉนด ศาลฎีกาแก้โทษตามบทหนักสุด
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียว มิใช่หลายกรรมต่างกัน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลอุทธรณ์ แต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนเรื่องโฉนดที่ดินสูญหาย และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสมียนประจำวันสถานีตำรวจเดียวกันจดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารดังกล่าวสูญหาย เป็นการกระทำในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันที่จะขอคัดสำเนาเอาข้อความเท็จนั้นไปแสดงอ้างอิงเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม มาตรา 267 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท แจ้งความเท็จ-ขอคัดสำเนาโฉนดปลอม มีเจตนาเดียวกัน โทษตามบทหนักสุด
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า การกระทำความผิดของจำเลยเป็นกรรมเดียว มิใช่หลายกรรมต่างกัน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์แต่กรณีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยจึงยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยให้
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนเรื่องโฉนดที่ดินสูญหาย และแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสมียนประจำวันสถานีตำรวจเดียวกันจดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารดังกล่าวสูญหาย เป็นการกระทำในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาเดียวกันที่จะขอคัดสำเนาเอาข้อความเท็จนั้นไปแสดงอ้างอิงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตาม มาตรา 267อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ. มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2093/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท แจ้งความเท็จขอใบแทนโฉนด, ไม่รอการลงโทษเนื่องจากไม่สำนึกผิด
การที่จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนเรื่องโฉนดที่ดินสูญหายและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเสมียนประจำวันสถานีตำรวจเดียวกันจดบันทึกข้อความลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารดังกล่าวสูญหาย เป็นการกระทำในวันเดียวกันและเวลาต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาเดียวกันที่จะ ขอคัดสำเนาเอาข้อความเท็จนั้นไปแสดงอ้างอิงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำโดยไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองตามสภาพและลักษณะการกระทำก่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นแล้ว ประกอบกับข้ออ้างของจำเลยถึงสาเหตุในการกระทำความผิด ก็เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆทั้งยังอ้างเหตุแตกต่างจากในชั้นอุทธรณ์ มีเหตุให้เชื่อว่าจำเลยหาเหตุอ้างเพื่อแสวงหาประโยชน์แก่ตนเป็นสำคัญแสดงว่าจำเลยมิได้สำนึกในความผิด ฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่เคย ได้รับโทษจำคุกมาก่อนกรณีไม่มีเหตุอันควรปรานี จึงไม่สมควร รอการลงโทษให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ และแก้ไขโทษกรรมเดียว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่าการที่จำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่ หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตตาม ความหมายของคำว่าผลิตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4 และขอให้ลงโทษสถานเบา จำเลยไม่ได้ อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยไม่ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุ ใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย หรือไม่ จึงยุติไปแล้วจำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยได้แบ่งเมทแอมเฟตามีน บรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็น ความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกา ของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกับ เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจ ยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1848/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. กรณีจำเลยยกข้อเท็จจริงใหม่ในชั้นฎีกา และศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์แต่เพียงว่าการที่จำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายถือไม่ได้ว่าเป็นการผลิตตามความหมายของคำว่าผลิตตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 4 และขอให้ลงโทษสถานเบา จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหาที่ว่าจำเลยไม่ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย ดังนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยแบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่ายหรือไม่ จึงยุติไปแล้วจำเลยจะมาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันว่า จำเลยได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนบรรจุใส่หลอดพลาสติกเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้องนั้นหาได้ไม่เพราะเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1710/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแยกความผิดผลิตและครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย การลงโทษตามบทที่มีโทษหนักที่สุด
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ว่า จำเลยกระทำความผิดกฎหมาย หลายกรรมต่างกันโดยแยกเป็นข้อ ก.ข.ค.ง. ฟ้องข้อ 1 ก. โจทก์บรรยายว่า จำเลยผลิตเฮโรอีนโดยการแบ่งบรรจุ ใส่หลอดกาแฟปิดหัวท้ายยาวประมาณ 2 เซนติเมตร จำนวน 4 หลอด รวมน้ำหนัก 0.072 กรัม โดยไม่ได้รับอนุญาต ฟ้องข้อ 1 ข.โจทก์บรรยายว่า จำเลยมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ซึ่งเป็นเกลือของเฮโรอีนบรรจุหลอดพลาสติกเบอร์ 5จำนวน 1 หลอด และบรรจุหลอดกาแฟ 4 หลอด รวมน้ำหนัก0.368 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ดังกล่าวในฟ้องข้อ 1 ก. ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและมิได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมายดังนี้แม้ฟ้องข้อ 1 ข. จะระบุว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษตามฟ้องข้อ 1 ก. ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ฟ้องทั้ง 2 ข้อดังกล่าว โจทก์บรรยายฟ้องแยกการกระทำความผิดของจำเลยออกเป็นต่างกรรมกัน ฟ้องข้อ 1 ก.โจทก์มิได้บรรยายว่า การผลิตเฮโรอีนของจำเลยนั้นเป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย อันเป็นสาระสำคัญแห่งองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 65 วรรคสอง ดังนี้ศาลจึงไม่อาจลงโทษจำเลยตามมาตรา 65 วรรคสอง ได้ คงลงโทษจำเลยได้ตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง เท่านั้น
of 173