คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง: เจตนาต่อเนื่องถือเป็นกรรมเดียว แม้มีทั้งการยินยอมและไม่ยินยอม
การกระทำที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา277วรรคแรกนั้นคือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้วโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามดังนั้นจึงไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้นเด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอมการกระทำความผิดของจำเลย คือเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมาโดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา3วันรวม5ครั้งจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวหาใช่ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมดังฎีกาของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5278/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเด็ก แม้มีเจตนาต่อเนื่องและมีการยินยอมบ้าง ก็เป็นกรรมเดียว
การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคแรกคือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้นเด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอม เมื่อจำเลยมีเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายและจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมา โดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน รวม 5 ครั้ง แม้จะมีทั้งกรรมที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมและกรรมที่ผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเองการกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว หาใช่เป็นความผิด 2 กรรม ต่างกรรมกันตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อาวุธปืนผิดกฎหมาย: กรรมเดียวผิดหลายบท, ลงโทษตามบทหนักสุด
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครอง กับความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมายไว้ในครอบครอง เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้เป็นความผิดในลักษณะเดียวกัน แม้ข้อกฎหมายที่ลงโทษต่างกัน กล่าวคือ ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครอง ต้องระวางโทษตามพ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 72 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมายไว้ในครอบครอง ต้องระวางโทษตามมาตรา72 วรรคสามก็ตาม แต่วัตถุที่ต้องห้ามทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กฎหมายถือว่าเป็นวัตถุประเภทเดียวกันโดยบัญญัติบทความผิดกับบทลงโทษในบทมาตราเดียวกัน เมื่อจำเลยมีไว้ในครอบครองในขณะเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และลงโทษตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาก็ปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5239/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืน แม้มีข้อกฎหมายต่างกัน ศาลรวมกรรมเดียวลงโทษตามโทษหนักสุดได้
ความผิดฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครอง กับความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมายไว้ในครอบครอง เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้เป็นความผิดในลักษณะเดียวกัน แม้ข้อกฎหมายที่ลงโทษต่างกัน กล่าวคือความผิดฐานมีอาวุธปืน ไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ในครอบครอง ต้องระวางโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้โดยชอบด้วยกฎหมายไว้ในครอบครองต้องระวางโทษตามมาตรา 72 วรรคสามก็ตาม แต่วัตถุที่ต้องห้ามทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กฎหมายถือว่าเป็นวัตถุประเภทเดียวกัน โดยบัญญัติบทความผิดกับบทลงโทษในบทมาตราเดียวกัน เมื่อจำเลยมีไว้ในครอบครองในขณะเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และลงโทษตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง ที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ฎีกาในข้อนี้ศาลฎีกาก็ปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การกระทำความผิดต่อเนื่องเกี่ยวกับการยักยอกเช็คและปลอมแปลงเอกสาร ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักสุด
จำเลยกระทำความผิดโดยเอาไปเสียซึ่งเอกสารเช็ครวม2 คราว แล้วจำเลยได้กระทำการปลอมเอกสารในวันเดียวกันนั้นคือ แก้ไขตัวเลขจำนวนเช็คในเอกสารบัญชีจ่ายเงินซื้อลดเช็ค-ต่อเช็ค และลบตัดทอนข้อความในเอกสารการ์ดลูกหนี้ทั้งนี้ก็โดยเจตนาปกปิดและทำให้ผู้เกี่ยวข้อหลงเชื่อว่าเช็คที่จำเลยเอาไปเสียมิได้มาขายลดเช็คกับบริษัท อ.จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188และ 264 ต้องลงโทษตามมาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดหลายบท: การยักยอกเช็คและปลอมแปลงเอกสารเพื่อปกปิด
จำเลยกระทำความผิดโดยเอาไปเสียซึ่งเอกสารเช็ครวม 2 คราวแล้วจำเลยได้กระทำการปลอมเอกสารในวันเดียวกันนั้น คือ แก้ไขตัวเลขจำนวนเช็คในเอกสารบัญชีจ่ายเงินซื้อลดเช็ค-ต่อเช็ค และลบตัดทอนข้อความในเอกสารการ์ดลูกหนี้ ทั้งนี้ก็โดยเจตนาปกปิดและทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อว่าเช็คที่จำเลยเอาไปเสียมิได้นำมาขายลดเช็คกับบริษัท อ. จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ.มาตรา 188 และ 264ต้องลงโทษตามมาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4643/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจน ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท โจทก์มีหน้าที่สืบพยาน
แม้ตามคำฟ้องโจทก์ได้แยกกระทงเรียงเป็นลำดับว่าเป็นการกระทำความผิดหลายกรรม กล่าวคือ ข้อแรก จำเลยทั้งห้าร่วมกันทำไม้มะค่าโมงซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในเขตป่าขุนซ่องโดยใช้เลื่อยโซ่ยนต์ตัดฟันเป็นท่อน ๆรวม 2 ท่อน วัดปริมาตรได้ 3.48 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่...ฯลฯ... ข้อสอง จำเลยทั้งห้าร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบุกรุกเข้าไปทำไม้ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เข้าไปทำไม้มะค่าโมงจำนวน 2 ต้น ทำลายต้นไม้ในป่าขุนซ่องอันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต...ฯลฯ... ก็ตาม แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเวลาในการกระทำผิดว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางวัน โดยไม่ได้ระบุว่าการกระทำผิดฐานใดกระทำในวันเวลาใดให้ชัดแจ้ง การบรรยายฟ้องดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในคราวเดียวกันเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำคนละคราวอันจะเป็นความผิดหลายกรรม
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานร่วมกันลักลอบนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางอันเป็นของผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร หรือรับไว้ซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์โดยจำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้ลักลอบนำเข้าหลบหนีด่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้นอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27, 27 ทวิ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดดังกล่าวเป็นความผิดคนละฐาน ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในทั้งสองฐานความผิดย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งห้า เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยทั้งห้าไม่ได้ และหากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้งโจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การของจำเลยทั้งห้าใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4643/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท การสืบพยานและการสอบถามคำให้การจำเลย
แม้ตามคำฟ้องโจทก์ได้แยกกระทงเรียงเป็นลำดับว่าเป็นการกระทำความผิดหลายกรรม กล่าวคือ ข้อแรก จำเลยทั้งห้าร่วมกันทำไม้มะค่าโมง ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก.ในเขตป่าขุนซ่องโดยใช้เลื่อยโซ่ยนต์ตัดฟันเป็นท่อน ๆ รวม2 ท่อน วัดปริมาตรได้ 3.48 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ฯลฯ ข้อสอง จำเลยทั้งห้าร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินบุกรุกเข้าไปทำไม้ ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการกระทำให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ เข้าไปทำไม้มะค่าโมงจำนวน 2 ต้นทำลายต้นไม้ในป่าขุนซ่องอันเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ฯลฯ ก็ตาม แต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับวันเวลาในการกระทำผิดว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิดในวันที่24 กุมภาพันธ์ 2538 เวลากลางวัน โดยไม่ได้ระบุว่าการกระทำผิดฐานใดกระทำในวันเวลาใดให้ชัดแจ้ง การบรรยายฟ้องดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยทั้งห้ากระทำความผิดในคราวเดียวกันเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นการกระทำคนละคราวอันจะเป็นความผิดหลายกรรม โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานร่วมกันลักลอบนำเข้าเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางอันเป็นของผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้อง เข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร หรือรับไว้ซึ่งเลื่อยโซ่ยนต์โดยจำเลยทั้งห้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้ลักลอบนำเข้าหลบหนีด่านศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอาการที่ต้องเสียสำหรับของนั้นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 27,27 ทวิ แสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดดังกล่าวเป็นความผิดคนละฐาน ดังนี้ ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งห้าในทั้งสองฐานความผิดย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทั้งห้าได้กระทำผิดฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งห้า เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยทั้งห้าไม่ได้ และหากโจทก์เห็นว่าคำให้การของจำเลยที่ศาลจดไว้ไม่ชัดแจ้งโจทก์ก็ชอบที่จะคัดค้านหรือแถลงขอสืบพยานต่อไป เพราะเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย คดีจึงไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสอบถามคำให้การของจำเลยทั้งห้าใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4548/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเป็นซ่องโจรและการปล้นทรัพย์: ตัวการร่วมและบทลงโทษกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกรวม 6 คน ร่วมกันวางแผนไปกระทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2แห่ง ป.อ.จึงมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร และเมื่อจำเลยที่ 4 กับพวกไปปล้นร้านทองของผู้เสียหายที่ 2 ตามแผนที่ร่วมกันวางไว้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ร่วมวางแผนย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปล้นร้านทองร่วมกับจำเลยที่ 4 กับพวกด้วย ตาม ป.อ.มาตรา 213 และความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานปล้นทรัพย์เกี่ยวเนื่องกันเพราะพวกจำเลยกระทำผิดฐานเป็นซ่องโจรเพื่อจะไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานปล้นทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานเป็นซ่องโจรด้วย จึงไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสามจะไม่ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้และเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงต้องวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 4 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4548/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วางแผนปล้นทรัพย์-เป็นซ่องโจร: กรรมเดียวผิดหลายบท ต้องลงโทษฐานปล้นทรัพย์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกรวม 6 คน ร่วมกันวางแผนไปกระทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาจึงมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร และเมื่อจำเลยที่ 4 กับพวกไปปล้นร้านทองของผู้เสียหายที่ 2 ตามแผนที่ร่วมกันวางไว้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ร่วมงานแผนย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปล้นร้านทองร่วมกับจำเลยที่ 4 กับพวกด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213 และความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานปล้นทรัพย์เกี่ยวเนื่องกันเพราะพวกจำเลยกระทำผิดฐานเป็นซ่องโจรเพื่อจะไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานปล้นทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานเป็นซ่องโจรด้วย จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสามจะไม่ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้และเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงต้องวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 4 ด้วย
of 173