พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6516/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ในทะเลหลวงและการลงโทษความผิดต่อชีวิตนอกอาณาเขตไทย
ความผิดฐานปล้นทรัพย์และฆ่าผู้อื่นเกิดขึ้นในทะเลหลวงนอกราชอาณาจักรศาลไทยจะลงโทษผู้กระทำผิดที่เป็นคนไทยในข้อหาความผิดต่อชีวิตตามมาตรา8(4)ได้ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา8(ก)เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ตายซึ่งถือว่าเป็นผู้เสียหายเป็นใครและไม่ปรากฏว่าจะมีผู้ใดซึ่งสามารถจัดการแทนผู้ตายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา5(2)ดำเนินการร้องขอให้ศาลไทยลงโทษจึงลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นไม่ได้ โจทก์บรรยายฟ้องข้อหาปล้นทรัพย์ไว้แยกต่างหากจากข้อหาฆ่าและพยายามฆ่าโดยไม่ได้บรรยายว่าในการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายด้วยถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายคงลงโทษจำเลยได้เพียงฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดการที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ลงโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา340วรรคท้ายจึงเป็นการเกินคำขอที่โจทก์กล่าวในฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192 หลังจากที่จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์ได้แล้วถอยเรือไปอยู่ห่างจากเรือของผู้เสียหายกับพวกประมาณ20เมตรเพื่อรอดูการที่เรือประมงของพวกจำเลยอีก2ลำเข้ามาปฏิบัติการเทียบกับเรือผู้เสียหายเมื่อเรือประมงดังกล่าวปฏิบัติการเสร็จแล้วโดยนำหญิงในเรือของผู้เสียหายขึ้นไปบนเรือแล้วแล่นออกไปจำเลยกับพวกได้ขับเรือประมงพุ่งเข้าชนเรือผู้เสียหายจนมีพวกของผู้เสียหายตกทะเลหายไปประมาณ20คนดังนี้การกระทำดังกล่าวยังอยู่ในช่วงแห่งการปล้นทรัพย์เพราะเป็นเวลาใกล้ชิดต่อเนื่องจากการได้ทรัพย์และพาเอาทรัพย์ที่ปล้นได้ไปจำเลยกับพวกต้องการให้ผู้เสียหายกับพวกถึงแก่ความตายก็เพื่อปกปิดการที่ตนกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์การพยายามฆ่าผู้เสียหายจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกับการปล้นทรัพย์ซึ่งต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา90 ปัญหาว่าศาลไทยลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดต่อชีวิตที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรได้หรือไม่ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษาลงโทษเกินคำขอหรือไม่การกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าผู้เสียหายเป็นกรรมเดียวกันหรือไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195,225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประกอบกิจการเช่าเทปโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เป็นความผิดหลายกรรม และของกลางไม่เข้าข่ายริบ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดจึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 287 กับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6, 34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 287 กับความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6, 34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6339/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในความผิดประกอบกิจการเทปโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเทปไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนและจำหน่ายซึ่งเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่มีเหตุได้รับการยกเว้นใด ๆ ตามกฎหมาย การกระทำผิดของจำเลยเกิดจากไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปของกลางจึงมิใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด จึงไม่มีเหตุที่จะริบของกลาง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 กับความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มาตรา 6,34 มิใช่ความผิดที่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6290/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่อความสงบทางเพศและการกระทำความผิดต่อเนื่อง ศาลแก้ไขโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 276 วรรคแรก, 277 ทวิ, 297, 364, 365, 80 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโดยไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริงเพื่อข่มขืนกระทำ-ชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ (1), 297, 364, 365 (3) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80, 277 ทวิ (1) ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ.มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6290/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราและการกระทำความรุนแรงทางเพศ ศาลแก้ไขบทมาตราที่ใช้ลงโทษให้ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก,277 ทวิ,297, 364,365,80 การกระทำ ของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงลงโทษ ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราซึ่งเป็นบทหนัก และศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโดยไม่ได้ระบุว่าลงโทษตามบทมาตราใด เมื่อ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องโดยเจตนาแท้จริง เพื่อข่มขืนกระทำชำเราเป็นสำคัญเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษาก็เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1),297,364,365(3)เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ ตามมาตรา 276 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80,277 ทวิ(1) ซึ่งเป็น บทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ทุจริตจ่ายเงินทดแทนโดยมิชอบ และความผิดสนับสนุน
จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่ 3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(4) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดิน ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทาน จากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว ย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มาก และความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อ การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้น ไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่ 3และจำเลยอื่น จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,162(1)(2) ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทหนัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6205/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ทุจริตจ่ายค่าทดแทนที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กรมชลประทานเสียหาย ร่วมกันทำเอกสารเท็จ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยที่2ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่จำเลยที่3กับพวกก็คิดค่าทดแทนให้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตร่วมกันทำเอกสารมีข้อความเป็นเท็จจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(4)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่1รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบและจ่ายเงินทดแทนทรัพย์สินของราษฎรที่ถูกเขตชลประทานจากตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าวย่อมจะต้องเห็นความสำคัญของงานที่ทำที่มีผู้ประสงค์จะแสวงหาประโยชน์อยู่มากและความสำคัญของเอกสารที่ตนลงชื่อการที่จำเลยที่1อ้างว่ามีงานอื่นที่สำคัญและต้องทำอีกมากไม่มีเวลาออกไปตรวจสอบที่ดินของราษฎรนั้นไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ฟังว่าจำเลยที่1ไม่มีเจตนากระทำความผิดกับจำเลยที่3และจำเลยอื่นจำเลยที่1จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157,162(1)(2)ประกอบด้วยมาตรา83ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157อันเป็นบทหนัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5905/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเครื่องหมายการค้าต่างชนิดและของผู้เสียหายต่างเจ้าของ ถือเป็นความผิดหลายกระทง
จำเลยที่ 1 ปลอมเครื่องหมายการค้า ROLEX ของผู้เสียหายที่ 1เครื่องหมายการค้า must de Cartier ของผู้เสียหายที่ 2 เครื่องหมายการค้าCUCCI ของผู้เสียหายที่ 3 เครื่องหมายการค้า LONGINES ของผู้เสียหายที่ 4และเครื่องหมายการค้า dunhill ของผู้เสียหายที่ 5 ซึ่งเป็นการปลอมเครื่องหมายการค้าต่างชนิดและของผู้เสียหายต่างเจ้าของกัน ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนากัน ต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติ-เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 มาตรา 108 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หาใช่ความผิดกรรมเดียวกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5905/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเครื่องหมายการค้าต่างชนิดและต่างเจ้าของถือเป็นหลายกรรมต่างเจตนา ต้องลงโทษทุกกรรม
จำเลยที่ 1 ปลอมเครื่องหมายการค้า ROLEX ของผู้เสียหายที่ 1เครื่องหมายการค้า mustdeCartier ของผู้เสียหายที่ 2เครื่องหมายการค้า CUCCI ของผู้เสียหายที่ 3 เครื่องหมายการค้าLONGINES ของผู้เสียหายที่ 4 และเครื่องหมายการค้า dunhillของผู้เสียหายที่ 5 ซึ่งเป็นการปลอมเครื่องหมายการค้าต่างชนิดและของผู้เสียหายต่างเจ้าของกัน ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างเจตนากัน ต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปลอมเครื่องหมายการค้าตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 108ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หาใช่ความผิดกรรมเดียวกันไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5210/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาซ้ำซ้อนและขอบเขตการลงโทษจำคุกกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147,157, 265 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 115 ปี และมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 265,268 แต่ลงโทษตามมาตรา 268 วรรคสอง ประกอบมาตรา 265 จำเลยกระทำความผิด 23 กระทง เรียงกระทงลงโทษ จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก23 ปี รวมโทษจำคุก จำเลยทั้งหมด 138 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยเพียง 50 ปี ตามป.อ. มาตรา 91 (3) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามป.อ. มาตรา 147 , 265, 268 กระทงเดียว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 147 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 5 ปีและไม่ปรับบทกระทำผิดของจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีกเท่านั้น จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปีจำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงทำนองว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้อง แต่ถ้าศาลฎีกาฟังว่าจำเลยกระทำความผิด ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษแก่จำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย