คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 90

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,721 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดของพนักงานสอบสวนที่ทำลายหลักฐานและช่วยเหลือผู้ต้องหา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 139 บัญญัติให้พนักงานสอบสวนบันทึกการสอบสวนตามหลักทั่วไปในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาอันว่าด้วยการสอบสวนและให้เอาบันทึกเอกสารอื่นซึ่งได้มา อีกทั้งบันทึกและเอกสารทั้งหลายซึ่งเจ้าพนักงานอื่นผู้สอบสวนคดีเดียวกันนั้นส่งมารวมเข้าสำนวนไว้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนจะอ้างว่าได้ทำบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาและผู้กล่าวหาใหม่แล้วของเดิมไม่สำคัญ หรือผู้ให้ถ้อยคำไม่ประสงค์จะใช้ของเดิมจึงไม่นำเข้ารวมสำนวนไว้หาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 1 เอาไปเสียซึ่งคำให้การฉบับเดิมของผู้ต้องหาและผู้กล่าวหาซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ปกครองดูแลรักษาไว้ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158 นั้น ก็โดยเจตนาเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องโทษ ซึ่งเป็นการกระทำการในตำแหน่งพนักงานสอบสวนโดยมิชอบอันเป็นความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,200 วรรคแรกด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อันตรายสาหัส การทำร้ายต่อเนื่อง และความผิดกรรมเดียว
แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ. อีกนั้น ถือได้ว่า เป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องจนเกิดอันตรายแก่กาย และความผิดฐานบุกรุก ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
ผู้เสียหายถูกทำร้ายมีบาดแผลเส้นเอ็นที่ยึดข้อปลายของนิ้วก้อยซ้ายขาด นิ้วก้อยซ้ายงอผิดรูป หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือนนิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติแต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณีกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าวจึงฟังไม่ได้ว่าบาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของบิดาผู้เสียหาย ถือว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 892/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อันตรายสาหัส – การพิสูจน์ความทุกขเวทนาและผลกระทบต่อการใช้ชีวิต, กรรมเดียวผิดหลายบท
แม้หลังเกิดเหตุแล้ว 2 เดือน นิ้วก้อยซ้ายของผู้เสียหายยังไม่สามารถยืดออกได้ตามปกติก็ตาม แต่โจทก์มิได้นำสืบว่าอาการป่วยเจ็บเช่นว่านั้นทำให้ผู้เสียหายได้รับทุกขเวทนาหรือไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า บาดแผลดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้เสียหายป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน อันจะเข้าลักษณะเป็นอันตรายสาหัส
การที่จำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้เสียหายที่ปากซอย แล้วไล่ตามเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบริเวณบ้านของ พ.อีกนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อเนื่องกันโดยจำเลยมีเจตนาอันเดียวมุ่งหมายที่จะทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานค้าประเวณีและหน่วงเหนี่ยวกักขัง โดยมีเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น ศาลแก้ไขโทษกรรมเดียว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับพวกที่หลบหนี โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไป ซึ่งผู้เสียหายโดยร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงความจริงจำเลยกับพวกมีเจตนาพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารผู้เสียหายถูกจำเลยกับพวกพาตัวไปพักที่โรงแรม พ. พวกของจำเลยที่หลบหนีได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่หลายครั้ง ดังนั้น เมื่อตามคำฟ้องและทางพิจารณาที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาดังกล่าว ซึ่งโจทก์มิได้ฎีกาโต้แย้งให้รับข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่น จึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปเพื่อสำเร็จความใคร่ของ พ. ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน จำเลยที่ 1จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 การที่จำเลยที่ 1 ใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายแล้ว พ.พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารดังกล่าว ก็โดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นซึ่งจำเลยที่ 1 กับพวกได้ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังและบังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายค้ำประเวณีในเวลาต่อมา การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันไปโดยเจตนาเพื่อสำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเพียงประการเดียว จึงเป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษจำเลยที่ 1บทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคแรกเพียงกระทงเดียว หาใช่เป็นความผิดตามมาตรา 283 วรรคแรก,83 กระทงหนึ่ง และมาตรา 283 วรรคแรก,284 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความไม่สมบูรณ์ของฟ้องจำเลย, การเรียงกระทงผิด, และการรอการลงโทษสำหรับผู้กระทำผิดครั้งแรก
ฟ้องโจทก์ได้ระบุชื่อจำเลยในช่องขอยื่นฟ้องจากเพศหญิงเป็นเพศชายซึ่งไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในช่องคู่ความตามที่ระบุว่าเป็นเพศหญิง ในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและบันทึกคำให้การของจำเลยได้ระบุชื่อจำเลยเป็นเพศหญิง จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่ถูกต้องหรือโจทก์ฟ้องผิดคน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาได้ระบุเพศจำเลยเป็นหญิงตลอด ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ดีดพิมพ์ฟ้องในช่องขอยื่นฟ้องจำเลยระบุเป็นเพศชายจึงเป็นความบกพร่องผิดพลาดเล็กน้อยที่โจทก์ไม่ได้ตรวจพบและแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน แต่ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ กัญชาที่กล่าวหาว่าจำเลยครอบครองและจำหน่ายเป็นกัญชาจำนวนเดียวกัน การกระทำความผิดของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และกัญชาที่จำเลยมีไว้ในความครอบครองและจำหน่ายมีน้ำหนักเพียง 15.8 กรัม โดยสภาพความผิดไม่ถึงกับร้ายแรงมาก แม้จำเลยจะเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ปรากฏว่าจำเลยไม่ได้รับโทษจำคุกเพราะคดีดังกล่าวศาลให้รอการลงโทษไว้ จึงสมควรให้โอกาสจำเลยอีกครั้งเพื่อกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 444/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกัน: ลักทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย, กระทำอนาจาร แม้มีเหตุการณ์ต่อเนื่อง แต่ถือเป็นกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยเข้าไปลักทรัพย์แล้วเข้าไปหลบอยู่ในห้องน้ำก่อนที่จะกระทำอนาจารผู้เสียหาย เมื่อจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายแต่ผู้เสียหายขัดขืนจำเลยจึงทำร้ายผู้เสียหายดังนี้ ที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายเป็นการกระทำที่ไม่ต่อเนื่องกับการลักทรัพย์ แต่เป็นการกระทำที่ขาดตอนแยกต่างหากจากกันแล้ว เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน: ความผิดสำเร็จเมื่อเริ่มรบกวนการครอบครอง ไม่ใช่ความผิดต่อเนื่อง
ความผิดฐานบุกรุกเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่จำเลยเข้าไปรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาท ส่วนการที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทต่อมาเป็นเพียงผลของการบุกรุกเท่านั้นหาใช่ความผิดต่อเนื่อง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 362 บทเดียวหาเป็นความผิดตามมาตรา 365(3) อีกบทหนึ่งไม่ ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยจะไม่ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4956/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำในความผิดเดิม แม้ศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว สิทธิฟ้องย่อมระงับตามกฎหมาย
โจทก์ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยกับพวกในข้อหาทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่าและปล้นทรัพย์ แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องในข้อหาพยายามฆ่าและปล้นทรัพย์ คงสั่งฟ้องเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 และศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยในมูลกรณีเดียวกันเป็นคดีนี้ แม้ว่าโจทก์จะได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนสั้นและอาวุธปืนยาวทุบตีทำร้ายร่างกายโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสแล้วร่วมกันปล้นเอาทรัพย์ของโจทก์ไปหลายอย่าง หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้อาวุธปืนสั้นยิงพยายามฆ่าโจทก์โดยกระทำการต่อเนื่องกันเป็นลำดับก็ตาม แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องระบุชัดเจนว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 มาในคำขอท้ายฟ้องโจทก์หาได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและอ้างมาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องไม่ ดังนี้เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเพียงกรรมเดียวและศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4772/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้และอ้างเอกสารราชการปลอม การปลอมแปลงและใช้ตราประทับปลอม
เมื่อจำเลยเป็นคนนำใบอนุญาตขับรถยนต์ปลอมไปมอบให้ ช.โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเอกสารปลอม และใบอนุญาตขับรถยนต์ดังกล่าวได้มีรอยตราประทับของกรมการขนส่งทางบกซึ่งมิใช่รอยตราประทับที่แท้จริง จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้รอยตราปลอมและการที่จำเลยรับจะเป็นคนติดต่อทำใบอนุญาตขับรถยนต์ให้แก่ผู้ประสงค์จะมีใบอนุญาตดังกล่าวโดยไม่ต้องผ่านการสอบของกรมการขนส่งทางบกย่อมหมายความว่าจำเลยสามารถจะนำใบอนุญาตที่แท้จริงมาให้แก่บุคคลดังกล่าวได้เมื่อจำเลยนำใบอนุญาตปลอมมาให้จึงเท่ากับเป็นการอ้างแก่บุคคลเหล่านั้นว่าเป็นเอกสารราชการที่แท้จริง จำเลยจึงมีความผิดฐานอ้างเอกสารราชการปลอม
of 173