คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 193

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 275 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2338/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การถอนอุทธรณ์และการโต้แย้งหมายจำคุกหลังคดีถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษประหารชีวิตจำเลย จำเลยยื่นอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยถอนอุทธรณ์แล้วพิจารณาคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ดังนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีย่อมถึงที่สุด จำเลยจะฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดไม่ได้ หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นหมายอาญา มิใช่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 และ 216 หากจำเลยเห็นว่าการออกหมายไม่ถูกต้องก็ต้องร้องขอให้ศาลชั้นต้นแก้ไขหมายนั้น เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งเสียก่อน ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านว่าศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดไม่ถูกต้องจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้าม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พยานหลักฐานแน่นหนา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น มีและพาอาวุธปืนยกฟ้องในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ก็ไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ได้วินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดในข้อหาต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้นไม่ถูกต้องอย่างไร ข้อหาดังกล่าวย่อมยุติ ไม่มีประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยซ้ำอีก คำให้การพยานโจทก์ซึ่งให้การไว้ในชั้นสอบสวนใกล้เวลาเกิดเหตุไม่ทันได้คิดเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ กฎหมายหาได้จำกัดให้รับฟังเฉพาะคำให้การพยานโจทก์ในชั้นศาลเท่านั้นไม่เมื่อคำให้การพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนมิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง หรือมิชอบประการอื่น ศาลย่อมรับฟังมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250-251/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ อาวุธปืน: ศาลฎีกาพิจารณาความถูกต้องของการปรับบทและข้อจำกัดการฎีกา
ฟ้องว่าจำเลยมีและใช้อาวุธปืนปล้นทรัพย์ แต่ไม่ระบุว่าเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อันจะทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามดังนี้ จึงลงโทษจำเลยหนักขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษหนักขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพาอาวุธปืนโดยผิดกฎหมายไม่เกิน5 ปี การที่จำเลยฎีกาว่ามิได้พาอาวุธปืน ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 และในกรณีศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ แต่จำเลยกลับฎีกาโต้แย้งว่ามิได้มีอาวุธปืนสั้นซึ่งมีนายทะเบียนของบุคคลอื่นไว้ในครอบครองดังนี้ถือว่าฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4007/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีลักทรัพย์และรับของโจร: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และการระบุข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือและผ้าโสร่งไหม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรผ้าโสร่งไหมตามมาตรา 357 มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรสร้อยข้อมือด้วย ดังนั้น ความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือ ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 334 หรือรับของโจรตามมาตรา 357 เฉพาะเรื่องผ้าโสร่งไหมนั้นก็เป็นการกระทำคนละกรรมความผิดกัน ความผิดตามมาตรา 334 ในส่วนนี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน ฉะนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับผ้าโสร่งไหมโจทก์และโจทก์ร่วมคงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 เท่านั้น ในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฉบับ คงอุทธรณ์แต่เฉพาะในข้อเท็จจริงที่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าผ้าโสร่งไหมเป็นของโจทก์ร่วมเท่านั้น ไม่มีคำฟ้องอุทธรณ์ส่วนใดที่ได้แสดงให้เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจะมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรอันเป็นความผิดที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ได้ คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อพอที่จะอ้างอิงให้เห็นได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามที่ขอให้ลงโทษมาในคำขอท้ายอุทธรณ์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3776/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดลิขสิทธิ์ทางอ้อม: จำเลยต้องพิสูจน์ได้ว่างานที่นำออกให้เช่าไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์โดยทางตรงตามมาตรา 24 และละเมิดลิขสิทธิ์โดยทางอ้อมตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2521 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามพระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27 คำขออื่นให้ยกจำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียวความผิดตามมาตรา 24 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องตามข้อความในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯมาตรา 42 ว่า "ฯลฯ และกฎหมายของประเทศนั้นได้ให้ความคุ้มครองเช่นเดียวกันแก่งานอันลิขสิทธิ์ของภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าวฯลฯ" แต่กล่าวในฟ้องเพียงว่าทั้งประเทศไทยและฮ่องกงซึ่งเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษต่างให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าว โดยไม่มีคำว่า "กฎหมาย"อยู่หน้าประเทศก็ตาม การกล่าวว่าทั้งสองประเทศต่างให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์ของประเทศภาคีอื่น ๆ แห่งอนุสัญญาดังกล่าวก็มีความหมายว่ากฎหมายของทั้งสองประเทศได้ให้ความคุ้มครองแก่งานอันมีลิขสิทธิ์นั้นแล้ว เพราะทุกประเทศต้องปกครองโดยกฎหมาย ฟ้องของโจทก์ส่วนนี้จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 แล้ว แต่ที่โจทก์ฟ้องว่า ในวันเวลาเกิดเหตุจำเลยโดยรู้อยู่แล้วว่าภาพยนต์วีดีโอเทปตามฟ้องเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ร่วมได้บังอาจนำเอาภาพยนต์วีดีโอเทปดังกล่าวออกให้เช่าเสนอให้เช่าแก่ประชาชนทั่วไปเพื่อการค้าอันเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นโดยไม่ปรากฏว่าภาพยนต์วีดีโอเทปที่จำเลยนำออกให้เช่า เสนอให้เช่านั้นได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่น จำเลยอาจนำเอางานที่ได้ทำขึ้นโดยชอบออกให้เช่า เสนอให้เช่าก็ได้อันหาใช่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์โดยทางอ้อมตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 27แต่อย่างไรไม่ ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความผิดตามบทมาตราดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ผิดขั้นตอน โดยวินิจฉัยข้อหาที่ยุติแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
การที่จำเลยช่วยจำหน่ายหรือช่วยพาเอาไปเสียซึ่งโคของผู้เสียหายอันเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ กรณีจะเป็นความผิดก็เข้าลักษณะฐานรับของโจร แม้จำเลยร่วมกับผู้อื่นยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ก็ไม่แสดงว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักโคของผู้เสียหายไป โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ ถือว่ายกฟ้องข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ข้อหาฐานรับของโจรย่อมยุติ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องฐานลักทรัพย์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่มีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจร.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1199/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นอำนาจฟ้องที่ไม่ชัดเจน และพิพากษาแก้โทษปรับในคดีก่อสร้างอาคาร
ฎีกาทุกฉบับต้องระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกขึ้นอ้างอิงเป็นลำดับ จำเลยจะขอถือเอาคำแถลงการณ์ปิดคดีในศาลชั้นต้นเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาจำเลยไม่ได้ เมื่อฎีกาของจำเลยตามที่บรรยายมาไม่เพียงพอที่จะให้เข้าใจ ข้ออ้างของจำเลยได้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะเหตุใด ประกอบกับจำเลยมิได้คัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5642/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่สมบูรณ์ ขาดรายละเอียดข้อโต้แย้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยมีใจความสำคัญสรุปได้เพียงว่า จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยยังขาดเอกสารสำคัญเกี่ยวกับคดีได้ติดต่อไปยังทนายจำเลยแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ เกรงว่าอายุฎีกาจะสิ้นสุดลงจึงได้ยื่นฎีกาไว้ก่อน ส่วนข้อโต้แย้งคัดค้านอันเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้นจำเลยจะยื่นรายละเอียดอีกในภายหลัง จำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องเท่านั้นมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อหรือข้อกฎหมายที่ยกอ้างอิงไว้เลยว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยคดีไม่ชอบหรือขัดต่อกฎหมายอย่างไร รายละเอียดที่จำเลยอ้างว่าจะยื่นเข้ามาในภายหลังก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นเข้ามาภายในอายุฎีกาและมิได้ขอขยายเวลายื่นฎีกาแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นฎีกาที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3387/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกหลังคดีถึงที่สุดขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว หากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ แต่จำเลยหาได้ใช้สิทธิดังกล่าวไม่ จนคดีถึงที่สุดไปแล้ว ดังนี้ จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้กำหนดโทษใหม่ให้น้อยลงโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) อีกไม่ได้ เพราะจะมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายในคดีอาญา และการพิจารณาพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิด
โจทก์อุทธรณ์โต้เถียง ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวนและวินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ถูกต้อง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196นั้น ไม่จำต้องโต้แย้งไว้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา แม้โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ก่อนก็มีสิทธิอุทธรณ์ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงและให้ใช้ราคาทรัพย์จำเลยให้การปฏิเสธ การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สืบตัวโจทก์จบคำซักถามทนายโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาและไม่เสื่อมสิทธิเรียกร้องที่มีต่อธนาคาร จึงไม่มีอำนาจฟ้องทั้งในคดีส่วนอาญาและส่วนแพ่ง ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังไม่อาจรับฟังได้เป็นยุติ เช่นนี้ ชอบที่ศาลสูงจะย้อนสำนวนกลับไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี.
of 28