คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 296

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 635 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน: สิทธิเช่ามีผลแค่ 3 ปี แม้สัญญาจะระบุ 8 ปี
ผู้ร้องทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับเจ้าของเดิมพร้อมกัน 3 ฉบับรวมระยะเวลาเช่า 8 ปี เมื่อมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามสัญญาเช่าฉบับแรก สิทธิของผู้ร้องที่จะอยู่ในตึกแถวที่เช่าจึงมีอยู่ถึงวันครบกำหนดตามสัญญาดังกล่าว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของตึกแถวและที่ดิน สิทธิของผู้ร้องก็มีอยู่คงเดิม
การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ผู้ร้องเช่าอยู่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่านั้น มีผลยิ่งกว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าเสียอีก ผู้ร้องจึงจะอ้างว่าเมื่อไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าจึงถือว่าผู้ร้องเช่าตึกแถวต่อโดยไม่มีกำหนดเวลาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน สิทธิเช่ามีผลใช้ได้ 3 ปี แม้ทำสัญญา 8 ปี
ผู้ร้องทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับเจ้าของเดิมพร้อมกัน 3 ฉบับรวมระยะเวลาเช่า 8 ปี เมื่อมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามสัญญาเช่าฉบับแรกสิทธิของผู้ร้องที่จะอยู่ในตึกแถวที่เช่าจึงมีอยู่ถึงวันครบกำหนดตามสัญญาดังกล่าว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของตึกแถวและที่ดิน สิทธิของผู้ร้องก็มีอยู่คงเดิม
การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ผู้ร้องเช่าอยู่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่านั้น มีผลยิ่งกว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าเสียอีก ผู้ร้องจึงจะอ้างว่าเมื่อไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าจึงถือว่าผู้ร้องเช่าตึกแถวต่อโดยไม่มีกำหนดเวลาไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่ได้จดทะเบียน: สิทธิเช่าจำกัด 3 ปี แม้สัญญา 8 ปี เจ้าของที่ดินรื้อถอนก่อนกำหนดชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ร้องทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับเจ้าของเดิมพร้อมกัน 3 ฉบับรวมระยะเวลาเช่า 8 ปี เมื่อมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามสัญญาเช่าฉบับแรกสิทธิของผู้ร้องที่จะอยู่ในตึกแถวที่เช่าจึงมีอยู่ถึงวันครบกำหนดตสัญญาดังกล่าว ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นเจ้าของตึกแถวและที่ดิน สิทธิของผู้ร้องก็มีอยู่คงเดิม การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ผู้ร้องเช่าอยู่ออกไปจากที่ดินของโจทก์ตั้งแต่ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่านั้น มีผลยิ่งกว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าเสียอีก ผู้ร้องจะอ้างว่าเมื่อไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่าจึงถือว่าผู้ร้องเช่าตึกแถวต่อโดยไม่มีกำหนดเวลาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2865/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันจำเลยที่ถูกจำหน่ายคดีแล้ว
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แล้ว ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน สัญญาดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำในฐานะคู่ความแห่งคดี คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสองศาลจะออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 หาได้ไม่
ปัญหาว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2865/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ผูกพันจำเลยที่ถูกจำหน่ายคดีแล้ว
โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 แล้ว ต่อมาโจทก์กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน สัญญาดังกล่าวถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำในฐานะคู่ความแห่งคดี คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสองศาลจะออกหมายบังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 หาได้ไม่
ปัญหาว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันจำเลยที่ 2 หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ผิดแปลงในการบังคับคดี ทำให้การขายทอดตลาดไม่ชอบ ศาลมีคำสั่งยกเลิกและคืนเงินให้ผู้ประมูล
ที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์นำยึดมาขายทอดตลาดปรากฏว่าจำเลยได้ขอออกโฉนดไปแล้ว และได้มีการโอนขายต่อไปอีกหลายทอด ส่วนที่ดินที่โจทก์นำชี้ให้ยึดและนำออกขายทอดตลาดอยู่ถัดมาทางทิศใต้ของที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์นำยึดและเป็นที่ดินของผู้อื่น กรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชี้และให้ยึดที่ดินผิดแปลง ดังนั้นการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการขายที่ดินที่จำเลยไม่เคยมีสิทธิครอบครองและเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินนี้ได้จากการขายทอดตลาดได้ยื่นคำร้องแสดงเจตนาขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดและขอให้คืนเงินแก่ผู้ร้อง ไม่ได้ขออ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 การที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการขายทอดตลาดและคืนเงินแก่ผู้ร้องจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ผิดแปลง การขายทอดตลาดที่ไม่ชอบ และสิทธิในการขอคืนเงินของผู้ประมูลซื้อ
ที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์นำยึดมาขายทอดตลาดปรากฏว่าจำเลยได้ขอออกโฉนดไปแล้ว และได้มีการโอนขายต่อไปอีกหลายทอดส่วนที่ดินที่โจทก์นำชี้ให้ยึดและนำออกขายทอดตลาดอยู่ถัดมาทางทิศใต้ของที่ดินตาม ส.ค.1 ที่โจทก์นำยึดและเป็นที่ดินของผู้อื่น กรณีจึงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชี้และให้ยึดที่ดินผิดแปลง ดังนั้นการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการขายที่ดินที่จำเลยไม่เคยมีสิทธิครอบครองและเมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ประมูลซื้อที่ดินนี้ได้จากการขายทอดตลาดได้ยื่นคำร้องแสดงเจตนาขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาดและขอให้คืนเงินแก่ผู้ร้อง ไม่ได้ขออ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 การที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการขายทอดตลาดและคืนเงินแก่ผู้ร้องจึงชอบแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2115-2116/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการขัดทรัพย์: ผู้มีส่วนได้เสียต้องดำเนินการภายในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด
โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดที่ดินของจำเลยเพื่อบังคับคดี ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดิน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องที่ 1 ไม่มีส่วนได้เสีย ให้ยกคำร้อง ต่อมาผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวอีกโดยอ้างเหตุเดิม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องที่ 1 วางหลักทรัพย์ประกันความเสียหาย ผู้ร้องที่ 1 ก็ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อศาลชั้นต้นตามคำสั่งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2520 หลังจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 โดยไม่ปรากฏว่าได้แจ้งให้ผู้ร้องที่ 1 ทราบ เช่นนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องครั้งแรกของผู้ร้องที่ 1 โดยผู้ร้องที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวถึงที่สุดผู้ร้องที่ 1 จึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280 (2) เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับอนุญาตจากศาลให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้แล้วจึงไม่ต้องแจ้งวันขายทอดตลาดให้แก่ผู้ร้องที่ 1 ทราบ
ผู้ร้องที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2527 หลังจากมีการขายทอดตลาดทรัพย์นั้นแล้ว ผู้ร้องที่ 2 จึงหมดสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไว้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2112/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำและการบังคับคดีตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรื้อถอนครัวที่รุกล้ำออกจากที่ดินของโจทก์ถ้า จำเลยไม่รื้อถอน ให้โจทก์หรือคนที่มอบหมายจากโจทก์รื้อถอนโดยค่าใช้จ่ายเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาตามที่โจทก์ขอในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้มี พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.พ.มาตรา 12 ให้เพิ่มเติมบทมาตรา 296 ทวิ โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการรื้อถอนครัวของจำเลยที่รุกล้ำออกไปได้จะให้โจทก์รื้อเองโดยให้ศาลบังคับให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำบังคับคดี: ศาลมีอำนาจแก้ไขคำบังคับที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษา
คำสั่งศาลเกี่ยวกับการบังคับคดี เช่น การออกคำบังคับหากออกไปไม่ถูกต้อง ย่อมแก้ไขใหม่ให้ถูกต้องได้ เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาและการแก้ไขนี้เป็นเรื่องแก้ไขคำบังคับ ไม่ใช่เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโจทก์จึงมีสิทธิขอให้ออกคำบังคับใหม่ได้.
of 64