พบผลลัพธ์ทั้งหมด 475 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้สมัครงาน: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
จำเลยเป็นพนักงานเทศบาลตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการศึกษา มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เช่น การสอบบรรจุ แต่ง ตั้ง เลื่อนชั้นครูและนักการภารโรงของโรงเรียนในสังกัดเทศบาล มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญาดัง บัญญัติไว้ในพ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 44 เมื่อนายกเทศมนตรีแต่ง ตั้งจำเลยเป็นกรรมการและเลขานุการดำเนินการคัดเลือกนักการภารโรงเป็นการแต่ง ตั้งจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว ให้ปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่วางไว้อีกชั้นหนึ่ง หาได้หมายความว่าก่อนหน้านั้นจำเลยไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานไม่ เมื่อจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อจะได้ใช้อำนาจหน้าที่ช่วย ให้ผู้เสียหายได้รับบรรจุเข้าทำงานตำแหน่งนักการภารโรงจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149 ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับทรัพย์สินโดยไม่ชอบตามมาตรา 149 แห่ง ป.อ. มิใช่ความผิดอันยอมความได้ แม้ไม่มีคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการก็มีอำนาจฟ้องคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2228/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือผู้สมัครงาน การกระทำผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบ
จำเลยเป็นพนักงานเทศบาลตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการศึกษา มีหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เช่น การสอบบรรจุ แต่งตั้ง เลื่อนชั้นครูและนักการภารโรงของโรงเรียนในสังกัดเทศบาล มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญาดังบัญญัติไว้ในพ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 44 เมื่อนายกเทศมนตรีแต่งตั้งจำเลยเป็นกรรมการและเลขานุการดำเนินการคัดเลือกนักการภารโรง เป็นการแต่งตั้งจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว ให้ปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยที่วางไว้อีกชั้นหนึ่ง หาได้หมายความว่าก่อนหน้านั้นจำเลยไม่ได้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงานไม่ เมื่อจำเลยเรียกเงินจากผู้เสียหายเพื่อจะได้ใช้อำนาจหน้าที่ช่วยให้ผู้เสียหายได้รับบรรจุเข้าทำงานตำแหน่งนักการภารโรงจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 149
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับทรัพย์สินโดยไม่ชอบตามมาตรา 149 แห่ง ป.อ. มิใช่ความผิดอันยอมความได้ แม้ไม่มีคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการก็มีอำนาจฟ้องคดีได้.
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับทรัพย์สินโดยไม่ชอบตามมาตรา 149 แห่ง ป.อ. มิใช่ความผิดอันยอมความได้ แม้ไม่มีคำร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็มีอำนาจสอบสวน และพนักงานอัยการก็มีอำนาจฟ้องคดีได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงและการเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย: การหลอกลวงเล่นการพนันบนรถโดยสาร
จำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายกับบุคคลอีกคนหนึ่งให้ร่วมเล่นการพนันบนรถโดยสารประจำทาง ถือไม่ได้ว่าจำเลยกับพวกได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนทั่วไป หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ. มาตรา 343 ผู้เสียหายสมัครใจเล่นการพนันกับจำเลยและพวกโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการร่วมกับจำเลยกระทำผิด จึงมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 อันเป็นความผิดอันยอมความได้พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3593/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำฟ้องและการมีอำนาจฟ้องในคดีฉ้อโกง: ผู้เสียหายคือบริษัทฯ ไม่ใช่นายบุญมา
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า 'นายบุญมา พึ่งทอง ผู้เสียหายซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด เป็น นายบุญมา พึ่งทอง ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ผู้เสียหาย' ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า 'สำเนาให้จำเลย ศาลจะสั่งคำร้องนี้ในคำพิพากษาของศาล' แต่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิได้กล่าวถึงคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์ เมื่อพิเคราะห์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งมีข้อความว่า '.......คำพยานโจทก์ คือ นายบุญมา พึ่งทอง กรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ผู้เสียหาย.........' แล้ว แสดงว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์ได้แก้คำฟ้องตามคำร้องแล้วโดยปริยาย ดังนั้นผู้เสียหายตามฟ้องคือบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด มิใช่นายบุญมา พึ่งทอง และบริษัทบุญมาคาร์โก้ จำกัด ได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3593/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีฉ้อโกง: ผู้เสียหายคือบริษัทฯ ไม่ใช่กรรมการผู้จัดการ และการแก้ไขคำฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องจากข้อความที่ว่า'นายบุญมาพึ่งทองผู้เสียหายซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดเป็นนายบุญมาพึ่งทองซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดผู้เสียหาย'ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของโจทก์ว่า'สำเนาให้จำเลยศาลจะสั่งคำร้องนี้ในคำพิพากษาของศาล'แต่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมิได้กล่าวถึงคำร้องขอแก้ฟ้องของโจทก์เมื่อพิเคราะห์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งมีข้อความว่า'.......คำพยานโจทก์คือนายบุญมาพึ่งทองกรรมการผู้จัดการบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดผู้เสียหาย.........'แล้วแสดงว่าศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์ได้แก้คำฟ้องตามคำร้องแล้วโดยปริยายดังนั้นผู้เสียหายตามฟ้องคือบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดมิใช่นายบุญมาพึ่งทองและบริษัทบุญมาคาร์โก้จำกัดได้ร้องทุกข์ภายในกำหนด3เดือนพนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสอบสวนคดีอาญา: การมีบุคคลอื่นร่วมฟัง และการแก้ไขบันทึกคำให้การไม่ทำให้การสอบสวนเสีย
ในการสอบสวนคดีอาญา เมื่อไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้กระทำผิดกฎหมาย หรือผิดหน้าที่อย่างใด ลำพังแต่มีบุคคลอื่นนั่งฟังการสอบสวนพยานอยู่ด้วย หาทำให้การสอบสวนนั้นเสียไปไม่
พยานให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน 2 ครั้ง พนักงานสอบสวนอ่านบันทึกให้ฟังทั้งสองครั้ง อ่านบันทึกครั้งแรกให้ฟังแล้วพูดว่า เหตุผลแค่นี้ ไม่พอจะฆ่ากันตายได้ จึงฉีกบันทึกทิ้งแล้ว ทำขึ้นใหม่ ไม่ปรากฏว่าข้อความในบันทึกคำให้การครั้งที่ 2 ไม่ตรงกับปากคำที่พยานให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวน หรือปากคำนั้นพยานไม่ได้ให้ด้วยความสมัครใจ หรือด้วยเหตุอันมิชอบอย่างอื่นจะถือว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
พยานให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน 2 ครั้ง พนักงานสอบสวนอ่านบันทึกให้ฟังทั้งสองครั้ง อ่านบันทึกครั้งแรกให้ฟังแล้วพูดว่า เหตุผลแค่นี้ ไม่พอจะฆ่ากันตายได้ จึงฉีกบันทึกทิ้งแล้ว ทำขึ้นใหม่ ไม่ปรากฏว่าข้อความในบันทึกคำให้การครั้งที่ 2 ไม่ตรงกับปากคำที่พยานให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวน หรือปากคำนั้นพยานไม่ได้ให้ด้วยความสมัครใจ หรือด้วยเหตุอันมิชอบอย่างอื่นจะถือว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้เสียหายที่แท้จริงและอำนาจมอบคดี
อ.เป็นพนักงานของธนาคารทำหน้าที่แทนธนาคารจ่ายเงินให้จำเลยไปเงินที่อ.จ่ายไปเป็นเงินของธนาคารไม่ใช่เงินของอ.ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายการที่อ.ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องจ่ายเงินผิดพลาดไปและนำเงินส่วนตัวมาเข้าบัญชีที่จ่ายผิดไปเป็นความรับผิดชอบระหว่างอ.กับธนาคารหาทำให้อ.เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์แก่เจ้าพนักงานไม่การที่อ.ร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีฐานยักยอกแก่จำเลยจึงไม่เป็นการร้องทุกข์มอบคดีโดยผู้เสียหายตามระเบียบพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้เสียหายที่แท้จริงและอำนาจมอบคดี
อ.เป็นพนักงานของธนาคารทำหน้าที่แทนธนาคารจ่ายเงินให้จำเลยไป เงินที่ อ. จ่ายไปเป็นเงินของธนาคารไม่ใช่เงินของ อ. ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหาย การที่ อ. ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องจ่ายเงินผิดพลาดไปและนำเงินส่วนตัวมาเข้าบัญชีที่จ่ายผิดไป เป็นความรับผิดชอบระหว่าง อ. กับธนาคารหาทำให้ อ. เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจร้องทุกข์แก่เจ้าพนักงานไม่ การที่ อ.ร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีฐานยักยอกแก่จำเลยจึงไม่เป็นการร้องทุกข์มอบคดีโดยผู้เสียหายตามระเบียบ พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4684/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: ผู้เสียหายที่แท้จริงคือใคร?
การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการของโจทก์ร่วมหลอกลวงลูกค้าของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมขึ้นราคาสินค้า ลูกค้าหลงเชื่อซื้อตามนั้น เงินส่วนที่ขายเกินกำหนดเป็นเงินของลูกค้าส่งมอบให้จำเลยเพราะถูกจำเลยหลอกลวง มิใช่เป็นเงินที่จำเลยได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 810 จึงเป็นเงินของลูกค้าผู้ถูกหลอกลวง หาใช่เงินของโจทก์ร่วมไม่ โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหาย เมื่อลูกค้าผู้เป็นเจ้าของเงินซึ่งเป็นผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2528)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4396/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนและการฟ้องคดีอาญา: การส่งสำนวนระหว่างพนักงานสอบสวนและการสอบสวนเพิ่มเติม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อเจ้าพนักงานและพระราชบัญญัติศุลกากร เดิมพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดา ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุเป็นผู้สอบสวน ต่อมากรมตำรวจได้แต่งตั้งให้ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนคดีนี้แต่ฝ่ายเดียว พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงติดต่อขอรับสำนวนการสอบสวน จากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดาหลายครั้ง แต่ไม่สามารถรับสำนวนการสอบสวนมาได้ ต่อมาพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอสะเดากลับส่งสำนวนการสอบสวนไปยัง พนักงานอัยการโดยมีความเห็นสั่งฟ้องจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงติดต่อขอสำนวนการสอบสวนคืนจากพนักงานอัยการ ซึ่งขณะนั้นยังมิได้มีคำสั่งให้ฟ้องหรือไม่ฟ้อง จำเลยที่ 1 พนักงานอัยการได้คืนสำนวนการสอบสวนดังกล่าวให้แก่พนักงานสอบสวนกองปราบปรามทำการสอบสวนต่อไป โดยสอบ บุคคลอื่นเป็นผู้ต้องหาอีกหลายคนซึ่งมีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วยภายหลังพนักงานอัยการได้แนะนำให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามคืนสำนวนการสอบสวน และต่อมามีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติมทำการสอบสวนจนเสร็จสิ้น กรณีเช่นนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามยังมีอำนาจทำการสอบสวนคดีนี้อยู่การสอบสวนเพิ่มเติมของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามดังกล่าว หาขัดกับบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 139ถึง มาตรา 143 ไม่ การสอบสวนของ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจึงชอบด้วยกฎหมาย และพนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่1 และที่ 2 ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11/2528)