คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 176

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญาจากประวัติเคยต้องโทษ – ไม่เข็ดหลาบ ตามมาตรา 73
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานรับของโจรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีกำหนดจำคุกเกินกว่า 6 เดือน ดังปรากฏตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง พ้นโทษครั้งสุดท้ายมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปีไม่เข็ดหลาบ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 74
จำเลยให้การรับว่า เคยต้องโทษมาหลายครั้งตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง และพ้นโทษครั้งสุดท้ายมายังไม่เกิน 5 ปีจริงดังฟ้องโจทก์ ดังนี้เมื่อปรากฏว่า ตามใบแดงแจ้งโทษจำเลยเคยต้องโทษมา 5 ครั้ง ครั้งที่ 5 ต้องโทษฐานรับของโจรจำคุก 8 เดือนพ้นโทษมายังไม่เกิน 3 ปี ก็มากระทำผิดคดีนี้อีก ก็ต้องฟังว่าคำรับของจำเลยแปลความได้ว่ารับรวมทั้งวันพ้นโทษตามใบแดงแจ้งโทษด้วย จึงเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 73 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1436/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญาเนื่องจากเคยต้องโทษและกระทำผิดซ้ำภายใน 5 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานหลักทรัพย์และขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบ โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยเคยต้องโทษฐานรับของโจรมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีกำหนดจำคุกเกินกว่า 6 เดือน ดังปรากฏตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง พ้นโทษครั้งสุดท้ายมากระทำความผิดในคดีนี้อีกภายใน 5 ปีไม่เข็ดหลาบ ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 74
จำเลยให้การรับว่า เคยต้องโทษมาหลายครั้งตามใบแดงแจ้งโทษท้ายฟ้อง และพ้นโทษครั้งสุดท้ายมายังไม่เกิน 5 ปีจริงดังฟ้องโจทก์ ดังนี้เมื่อปรากฏว่า ตามใบแดงแจ้งโทษจำเลยเคยต้องโทษมา 5 ครั้งๆที่ 5 ต้องโทษฐานรับของโจรจำทุก 8 เดือนพ้นโทษมายังไม่เกิน 3 ปี ก็มากระทำผิดคดีนี้อีก ก็ต้องฟังว่าคำรับของจำเลยแปลความได้ว่ารับรวมทั้งพ้นโทษตามใบแดงแจ้งโทษด้วย จึงเพิ่มโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตารา 73 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จพิสูจน์ได้ว่าข้อความจริง ศาลต้องยกฟ้อง
ในคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูง จำคุกไม่ถึง 10 ปีนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วก็ตาม ถ้าปรากฏจากพยานหลักฐานว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยแจ้งความเท็จนั้น กลับเป็นข้อความจริงแล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จ: หลักฐานแสดงความจริงทำให้จำเลยไม่มีความผิด แม้รับสารภาพ
ในคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ ซึ่งมีอัตรโทษอย่างสูง จำคุกไม่ถึง 10 ปีนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องแล้วก็ตาม ถ้าปราศจากหลักฐานพยานว่า ข้อความที่โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยแจ้งความเท็จนั้น กลับเป็นข้อความจริงแล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ ต้องพิพากษายกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์แม้จำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลต้องลงโทษตามความผิดที่พิสูจน์ได้
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยลักทรัพย์ หรือรับของโจรทรัพย์สิ่งของที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์อันเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งที่ใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ในภาวะคับขัน พ.ศ.2486 มาตรา 3 กำหนดโทษอย่างสูงไว้ถึงจำคุก 10 ปีขึ้นไป ดังนี้ แม้จำเลยรับสารภาพว่าได้กระทำผิดฐานรับของโจรแล้ว โจทก์ก็นำพยานมาสืบให้ศาลฟังพยานต่อไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 76 ได้ และเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์ อันเป็นความผิดที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ศาลก็ต้องลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามความผิดที่ได้กระทำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาในความผิดสมคบกันลักทรัพย์ และผลของการรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสามสมคบกันลักทรัพย์ของผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษ จำเลยคนหนึ่งรับสารภาพตามฟ้อง ส่วนจำเลยอีกสองคนปฏิเสธ ครั้นเมื่อพิจารณาไป ศาลสงสัยพยานโจทก์จึงปล่อยจำเลยทั้ง 2 คนที่ปฏิเสธไป ส่วนจำเลยที่รับสารภาพนั้น ศาลย่อมพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์โดยมีพรรคพวกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 896/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพในคดีสมคบกันลักทรัพย์ ศาลพิจารณาตามฟ้อง แม้ศาลสงสัยพยานจำเลยอื่น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสามคนสมคบกันลักทรัพย์ของผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษ จำเลยคนหนึ่งรับสารภาพตามฟ้อง ส่วนจำเลยอีกสองคนปฏิเสธ ครั้นเมื่อพิจารณาไป ศาลสงสัยพยานโจทก์จึงปล่อยจำเลยทั้ง 2 คนที่ปฏิเสธไป ส่วนจำเลยที่รับสารภาพนั้น ศาลย่อมพิพากษาลงโทษฐานลักทรัพย์โดยมีพรรคพวกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 547/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษอาญา: หน้าที่การสืบพยานเมื่อจำเลยอ้างได้รับการนิรโทษกรรม
โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญาและขอให้เพิ่มโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 72 จำเลยให้การรับว่าข้อเคยต้องโทษตามฟ้องนั้น จำเลยได้รับนิรโทษกรรมตาม พ.ร.บ.นิรโทษกรรม พ.ศ. 2489 แล้ว ดังนี้เท่ากับเถียงว่าเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบ เมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่สืบพยาน ศาลก็เพิ่มโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 547/2495

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิ่มโทษจำเลย: หน้าที่การนำสืบและผลของนิรโทษกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทางอาญาและขอให้เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 72 จำเลยให้การรับว่าข้อเคยต้องโทษตามฟ้องนั้น จำเลยได้รับนิรโทษกรรมตามพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ.2489 แล้ว ดังนี้เท่ากับเถียงว่าเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบ เมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่สืบพยาน ศาลก็เพิ่มโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 631/2494

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประมงผิดกฎหมาย: ประกาศท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง การพิพากษาต้องอ้างอิงตามประกาศที่ถูกต้อง
ฟ้องบรรยายว่าจำเลยทำการประมงโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยใช้เครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาดตามประกาศท้ายฟ้อง แต่เมื่อปรากฏว่าตามประกาศท้ายฟ้องนั้นมิได้มีกำหนดห้ามเครื่องมือที่อ้างนั้น ว่าเป็นเครื่องมือที่ห้ามเด็ดขาดดังนี้แม้จำเลยจะรับสารภาพตามฟ้อง ก็จะฟังว่าจำเลยกระทำผิดฐานใช้เครื่องมือที่ห้ามโดยเด็ดขาดไม่ได้ เพราะต้องถือประกาศท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย จำเลยจึงคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประมง 2490 มาตรา 18,62 ไม่ใช่ผิดตามมาตรา 32,65 ฉะนั้นการริบเครื่องมือของกลางจึงอยู่ในดุลพินิจของศาลตามมาตรา 69
of 68