พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,099 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินยืมทดรองจ่ายของพนักงานเพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่เข้าลักษณะสัญญาเงินยืม พนักงานไม่ต้องรับผิดคืน
โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 และมาตรา 650 ลักษณะ 9 เรื่องยืม เป็นกรณีที่ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเพื่อประโยชน์ของผู้ยืมหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ให้ยืมไม่ การที่โจทก์ผู้ให้ยืมให้จำเลยยืมเงินไปเป็นการทดรองเพื่อให้จำเลยนำไปใช้สอยในกิจการของโจทก์เป็นประโยชน์ของโจทก์ผู้ให้ยืมเอง รูปเรื่องจึงปรับเข้าด้วยลักษณะ 9 เรื่องยืมแห่งบทบัญญัติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงผูกพันกันในลักษณะอื่นโดยเฉพาะ ต้องพิจารณาเจตนารมณ์ระหว่างคู่กรณีมุ่งผูกพันกันแค่ไหนอย่างไร การที่จำเลยลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์นั้นได้กระทำไปโดยตำแน่งหน้าที่ของจำเลยในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบให้ จ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปดำเนินการต่อไปเพื่อให้งานของโจทก์ดำเนินไปโดยเรียบร้อย แม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายที่ถูกต้องพร้อมทั้งเงินที่เหลือจ่ายส่งใช้แก่โจทก์ตามกำหนด ก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์เมื่อจำเลยมิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินรายพิพาทแก่โจทก์.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 640 และมาตรา 650 ลักษณะ 9 เรื่องยืม เป็นกรณีที่ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเพื่อประโยชน์ของผู้ยืมหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ให้ยืมไม่ การที่โจทก์ผู้ให้ยืมให้จำเลยยืมเงินไปเป็นการทดรองเพื่อให้จำเลยนำไปใช้สอยในกิจการของโจทก์เป็นประโยชน์ของโจทก์ผู้ให้ยืมเอง รูปเรื่องจึงปรับเข้าด้วยลักษณะ 9 เรื่องยืมแห่งบทบัญญัติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงผูกพันกันในลักษณะอื่นโดยเฉพาะ ต้องพิจารณาเจตนารมณ์ระหว่างคู่กรณีมุ่งผูกพันกันแค่ไหนอย่างไร การที่จำเลยลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์นั้นได้กระทำไปโดยตำแน่งหน้าที่ของจำเลยในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบให้ จ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปดำเนินการต่อไปเพื่อให้งานของโจทก์ดำเนินไปโดยเรียบร้อย แม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายที่ถูกต้องพร้อมทั้งเงินที่เหลือจ่ายส่งใช้แก่โจทก์ตามกำหนด ก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์เมื่อจำเลยมิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินรายพิพาทแก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินยืมทดรองจ่ายเพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ไม่เข้าลักษณะยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ ผู้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่ต้องรับผิด
โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ศาลฎีกาจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา640และมาตรา650ลักษณะ9เรื่องยืมเป็นกรณีที่ผู้ให้ยืมให้ผู้ยืมใช้สอยทรัพย์สินที่ยืมเพื่อประโยชน์ของผู้ยืมหาใช่เพื่อประโยชน์ของผู้ให้ยืมไม่การที่โจทก์ผู้ให้ยืมให้จำเลยยืมเงินไปเป็นการทดรองเพื่อให้จำเลยนำไปใช้สอยในกิจการของโจทก์เป็นประโยชน์ของโจทก์ผู้ให้ยืมเองรูปเรื่องจึงปรับเข้าด้วยลักษณะ9เรื่องยืมแห่งบทบัญญัติกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยจึงผูกพันกันในลักษณะอื่นโดยเฉพาะต้องพิจารณาเจตนารมณ์ระหว่างคู่กรณีมุ่งผูกพันกันแค่ไหนอย่างไรการที่จำเลยลงชื่อในใบยืมเงินทดรองของโจทก์นั้นได้กระทำไปโดยตำแน่งหน้าที่ของจำเลยในฐานะพนักงานของโจทก์ในขอบเขตแห่งหน้าที่ของตนตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ที่วางไว้เพื่อใช้ดำเนินงานของโจทก์โดยมอบให้จ.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไปดำเนินการต่อไปเพื่อให้งานของโจทก์ดำเนินไปโดยเรียบร้อยแม้จะมีข้อบังคับให้ผู้ยืมต้องนำใบสำคัญคู่จ่ายที่ถูกต้องพร้อมทั้งเงินที่เหลือจ่ายส่งใช้แก่โจทก์ตามกำหนดก็เป็นเรื่องกำหนดความรับผิดชอบของผู้ยืมไว้เป็นการเฉพาะเป็นหลักปฏิบัติงานในหน่วยงานของโจทก์เมื่อจำเลยมิได้อยู่ในฐานะของผู้ยืมตามกฎหมายแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดคืนเงินรายพิพาทแก่โจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญากู้ยืมเดิมยังใช้บังคับได้ แม้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินภายหลัง
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แม้ภายหลังจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินในสัญญานั้นก็ไม่ทำให้การกู้ยืมเงินอันมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แต่เดิมเสียไปโจทก์ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีตามหนังสือสัญญากู้ที่ทำไว้เดิมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1186/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินเดิมยังใช้บังคับได้ แม้มีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินภายหลัง
หนังสือสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แม้ภายหลังจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมจำนวนเงินในสัญญานั้นก็ไม่ทำให้การกู้ยืมเงินอันมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยผู้กู้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้แต่เดิมเสียไปโจทก์ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีตามหนังสือสัญญากู้ที่ทำไว้เดิมได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืมเงินต้องแสดงเจตนาให้เห็นว่ามีหนี้สินเกิดขึ้น การอธิบายเพิ่มเติมโดยพยานบุคคลขัดต่อกฎหมาย
เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุชัดแจ้งว่าเป็นหนี้เงินกู้ แต่ก็ต้องมีข้อความแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีหนี้สินอันจะพึงต้องชำระให้แก่โจทก์จึงจะนำสืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเป็นหนี้อันเกิดจากนิติสัมพันธ์ในเรื่อง กู้ยืมเงินได้ เอกสารที่โจทก์อ้างมีข้อความว่า จำเลยได้รับเงิน2 ครั้ง ครั้งแรกรับมา 72,190 บาท ครั้งที่สอง รับมาอีก 1,000 บาท และจำเลยได้ลงลายมือชื่อ รับเงินทั้งสองจำนวนไว้ด้วย ไม่ได้ความว่าโจทก์ เป็นผู้จ่ายเงินและจำเลยจะต้องคืนเงินจำนวน ดังกล่าวให้แก่โจทก์ อันมีลักษณะที่แสดงให้ เห็นว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์หรือมีหนี้จะต้องชำระแก่โจทก์แต่อย่างใดการที่โจทก์จะสืบพยานบุคคลประกอบว่าโจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยได้รับเงินไปตามเอกสารดังกล่าว ก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ ในเอกสารซึ่งต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94เอกสารนั้นจึงไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืมเงินที่จะใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงินต้องแสดงเจตนาการเป็นหนี้ การสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารทำไม่ได้
เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินไม่จำเป็นต้องระบุชัดแจ้งว่าเป็นหนี้เงินกู้ แต่ก็ต้องมีข้อความแสดงให้เห็นว่า จำเลยมีหนี้สินอันจะพึงต้องชำระให้แก่โจทก์ จึงจะนำสืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นเป็นหนี้อันเกิดจากนิติสัมพันธ์ในเรื่องกู้ยืมเงินได้ เอกสารที่โจทก์อ้างในคดีมีข้อความเพียงว่า จำเลยได้รับเงิน 2 ครั้ง ครั้งแรกรับมา 72,190 บาท ครั้งที่สองรับมาอีก 1,000 บาท และจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับเงินทั้งสองจำนวนไว้ด้วยเท่านั้น ไม่ได้ความว่า โจทก์เป็นผู้จ่ายเงินและจำเลยจะต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ อันมีลักษณะที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์หรือมีหนี้จะต้องชำระแก่โจทก์แต่อย่างใด การที่โจทก์จะสืบพยานบุคคลประกอบว่า โจทก์ให้จำเลยกู้ยืมเงินและจำเลยได้รับเงินไปตามเอกสารข้างต้นก็ทำไม่ได้ เพราะเป็นการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารดังกล่าว ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เอกสารนั้นจึงไม่ใช่หลักฐานการกู้ยืมเงินที่จะใช้ฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4872/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติสัมพันธ์บัญชีเดินสะพัด แม้ฟ้องเป็นการกู้ยืม ศาลปรับบทกฎหมายได้ อายุความ 10 ปี
โจทก์ฟ้องเรื่องกู้ยืมเงิน แต่บรรยายฟ้องและนำสืบว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับโควต้าเป็นผู้ส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกไร่ส่งอ้อยให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ที่ 2 เป็นผู้ออกทุนให้จำเลยทั้งสองก่อนโดยจ่ายเป็นเงินสดบ้างเป็นเช็คบ้าง ทั้งได้จ่ายค่าไถ่ที่ดินค่าปุ๋ย และของอื่น ๆ เพื่อให้จำเลย ใช้ในการทำไร่อ้อย โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยลงลายมือชื่อกำกับหนี้ทุกรายการเมื่อตัดอ้อยแล้วจำเลยทั้งสองส่งให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จะนำอ้อยดังกล่าวไปขายให้โรงงานน้ำตาล ครั้นโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินค่าขายอ้อย จากโรงงานจึงมาคิดหักทอนบัญชีกับจำเลยทั้งสองหากค่าอ้อยที่ จำเลยทั้งสองได้รับไม่พอกับจำนวนเงินที่จำเลยเบิกไปก็ยกยอดไป ในปีต่อไปและโจทก์คิดดอกเบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่า เป็นผู้ปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลในโควต้าของโจทก์ โจทก์จ่ายค่าปุ๋ย ให้จำเลยเมื่อโจทก์นำอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลและได้รับเงินมาแล้วก็มาคิดบัญชีกันเป็นรายปี แต่หลังจากจำเลยเลิกเป็นลูกไร่ของโจทก์แล้ว ไม่ได้คิดเงินกัน โจทก์จำเลยจะเป็นหนี้ลูกหนี้กันเท่าใดจึงไม่ทราบ กรณีเช่นนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยจึงเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัด ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัด ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4872/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติสัมพันธ์บัญชีเดินสะพัด: ศาลปรับใช้บทกฎหมายที่ถูกต้อง แม้ฟ้องเป็นเรื่องกู้ยืม และอายุความ 10 ปี
โจทก์ฟ้องเรื่องกู้ยืมเงิน แต่บรรยายฟ้องและนำสืบว่าโจทก์ที่ 2 ได้รับโควต้าเป็นผู้ส่งอ้อยให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ตกลงให้จำเลยทั้งสอง ซึ่งเป็นลูกไร่ส่งอ้อยให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล โจทก์ที่2 เป็นผู้ออกทุนให้จำเลยทั้งสองก่อนโดยจ่ายเป็นเงินสดบ้างเป็นเช็คบ้าง ทั้งได้จ่ายค่าไถ่ที่ดินค่าปุ๋ย และของอื่นๆ เพื่อให้จำเลย ใช้ในการทำไร่อ้อย โจทก์ที่ 2 ให้จำเลยลงลายมือชื่อกำกับหนี้ทุกรายการ เมื่อตัดอ้อยแล้วจำเลยทั้งสองส่งให้โจทก์ที่ 2 โจทก์ที่ 2 จะนำอ้อยดังกล่าวไปขายให้โรงงานน้ำตาล ครั้นโจทก์ที่ 2 ได้รับเงินค่าขายอ้อย จากโรงงานจึงมาคิดหักทอนบัญชีกับจำเลยทั้งสองหากค่าอ้อยที่ จำเลยทั้งสองได้รับไม่พอกับจำนวนเงินที่จำเลยเบิกไปก็ยกยอดไป ในปีต่อไปและโจทก์คิดดอกเบี้ยเอาแก่จำเลยซึ่งจำเลยทั้งสองรับว่า เป็นผู้ปลูกอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลในโควต้าของโจทก์ โจทก์จ่ายค่าปุ๋ย ให้จำเลยเมื่อโจทก์นำอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลและได้รับเงินมาแล้วก็มาคิดบัญชีกันเป็นรายปี แต่หลังจากจำเลยเลิกเป็นลูกไร่ของโจทก์แล้ว ไม่ได้คิดเงินกัน โจทก์จำเลยจะเป็นหนี้ลูกหนี้กันเท่าใดจึงไม่ทราบ กรณีเช่นนี้นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยจึงเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัด ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้นไม่มีกฎหมาย บัญญัติ อายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
แม้โจทก์จะฟ้องเรื่องกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องเข้าลักษณะ บัญชีเดินสะพัด ศาลมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ และการฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้นไม่มีกฎหมาย บัญญัติ อายุความไว้เป็นอย่างอื่นจึงมีกำหนด 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินที่ถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นเอกสารปลอม ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 12,960 บาท ได้เขียนสัญญากู้เงินโดยยังมิได้เขียน จำนวนเงินที่กู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้เขียนจำนวนเงินกู้ 15,000 บาท ลงในสัญญากู้โดยจำเลยมิได้ยินยอม ดังนี้ การที่โจทก์เขียนข้อความ ในสัญญากู้ว่า ได้มีการกู้ในจำนวนเงินถึง 15,000 บาทเกินกว่า จำนวนหนี้ที่เป็นจริงโดยจำเลยมิได้รู้เห็นและยินยอมด้วยสัญญากู้เงิน ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอมใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี หาได้ไม่แม้ขณะโจทก์เขียนจำนวนเงิน 15,000 บาทในสัญญากู้ จำเลยเป็นหนี้โจทก์12,960 บาทศาลก็จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ ดังกล่าวโดยอาศัยสัญญากู้นั้นไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1313/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4692/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เงินที่ถูกแก้ไขโดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นเอกสารปลอมใช้บังคับคดีไม่ได้
จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 12,960 บาท ได้เขียนสัญญากู้เงินโดยยังมิได้เขียน จำนวนเงินที่กู้ให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้เขียนจำนวนเงินกู้ 15,000 บาท ลงในสัญญากู้โดยจำเลยมิได้ยินยอม ดังนี้ การที่โจทก์เขียนข้อความ ในสัญญากู้ว่า ได้มีการกู้ในจำนวนเงินถึง 15,000 บาท เกินกว่าจำนวนหนี้ที่เป็นจริงโดยจำเลยมิได้รู้เห็นและยินยอมด้วยสัญญากู้เงิน ดังกล่าวจึงเป็นเอกสารปลอมใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี หาได้ไม่แม้ขณะโจทก์เขียนจำนวนเงิน 15,000 บาท ในสัญญากู้จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 12,960 บาทศาลก็จะบังคับให้จำเลยชำระหนี้ ดังกล่าวโดยอาศัยสัญญากู้นั้นไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1313/2515)