พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,099 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน: การพิสูจน์การชำระหนี้และประเด็นการฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 11,300 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตั้งแต่กู้เงินไปไม่เคยชำระดอกเบี้ย ครบกำหนดชำระแล้วโจทก์ทวงถามก็เพิกเฉย ขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจริงจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาที่ฟ้องไปแล้ว แต่ขณะกู้เงินยังมิได้กรอกรายการใด ๆ อันจะต้องรับผิดลงในสัญญาจำเลยตกลงกู้เงินโจทก์ 6 เดือน มิใช่ 1 เดือน ดังที่โจทก์ฟ้องและตกลงกันให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน จำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วแต่โจทก์ไม่ออกใบรับให้ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้องและทำลายสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง ดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยมิได้โต้แย้งว่ามิได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 รับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจริง โดยมิได้ถูกหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใด เงินดอกเบี้ยก็มิได้โต้เถียงว่าเกินอัตราที่ตกลงกัน เพียงแต่อ้างว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ไม่ใช่ 1 เดือนตามสัญญา แต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนแล้ว แม้โจทก์จะกรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยลำพัง มิได้รับความยินยอมหรือรู้เห็นจากจำเลยทั้งสองจริงดังที่อ้างก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ และที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้รายนี้หมดแล้วก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว จำเลยจึงนำสืบถึงการใช้เงินไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การดังกล่าวไม่ได้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องแย้ง ศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินและสัญญาค้ำประกัน: ประเด็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและการใช้สิทธิเรียกร้องหนี้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 11,300 บาท คิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน ตั้งแต่กู้เงินไปไม่เคยชำระดอกเบี้ยครบกำหนดชำระแล้วโจทก์ทวงถามก็เพิกเฉยขอให้ศาลบังคับจำเลยร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันจริงจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามสัญญาที่ฟ้องไปแล้วแต่ขณะกู้เงินยังมิได้กรอกรายการใดๆ อันจะต้องรับผิดลงในสัญญา จำเลยตกลงกู้เงินโจทก์ 6 เดือน มิใช่ 1 เดือน ดังที่โจทก์ฟ้องและตกลงกันให้ดอกเบี้ยร้อยละ 1.25 บาทต่อเดือน จำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วแต่โจทก์ไม่ออกใบรับให้ สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันเป็นสัญญาปลอมขอให้ยกฟ้องและทำลายสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องดังนี้ ตามคำให้การของจำเลยมิได้โต้แย้งว่ามิได้กู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 รับว่าได้ลงชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจริงโดยมิได้ถูกหลอกลวงหรือหลงผิดแต่อย่างใด เงินดอกเบี้ยก็มิได้โต้เถียงว่าเกินอัตราที่ตกลงกันเพียงแต่อ้างว่ากำหนดเวลาชำระหนี้ 6 เดือน ไม่ใช่ 1 เดือนตามสัญญาแต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนแล้วแม้โจทก์จะกรอกข้อความลงในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันโดยลำพัง มิได้รับความยินยอมหรือรู้เห็นจากจำเลยทั้งสองจริงดังที่อ้างก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองชนะคดีได้ และที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าได้ชำระหนี้รายนี้หมดแล้วก็ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนหรือแทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้วจำเลยจึงนำสืบถึงการใช้เงินไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองนำสืบตามคำให้การดังกล่าวนี้ไม่ได้ จึงไม่มีเหตุที่จะฟ้องแย้งศาลชอบที่จะไม่รับฟ้องแย้งได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์ เนื่องจากจำนวนเงินในสัญญาไม่ตรงกับเงินที่ได้รับจริง
จำเลยให้การว่า จำนวนเงินตามสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องจำนวน 32,000 บาทนั้น จำเลยได้รับไปเพียง 4,000 บาท เท่านั้นโดยเอาหนี้เก่ามาผนวกกับหนี้ใหม่แล้วเพิ่มจำนวนเงินเป็นแปดเท่า เป็นการต่อสู้ว่าสัญญานั้นไม่สมบูรณ์ จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารบางส่วนเป็นภาษาต่างประเทศใช้เป็นหลักฐานได้หากอ่านใจความสำคัญได้
เอกสารตอนบนมีข้อความเป็นภาษาไทย ตอนล่างมีข้อความเป็นภาษาจีน โจทก์มิได้ส่งคำแปลเป็นภาษาไทย แต่ข้อความที่เป็นภาษาไทยอยู่บางส่วนนั้น อ่านได้ใจความว่า จำเลยยืมเงินโจทก์ ดังนี้ ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีการกู้ยืมเงินกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ: สัญญาไม่สมบูรณ์ แม้มีจดหมายหรือเช็คก็ใช้บังคับคดีไม่ได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยจดหมายที่จำเลยเขียนไปถึงโจทก์ และเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายเงินที่ขอกู้นั้นให้จำเลยเป็นหลักฐานจดหมายนั้นมีข้อความเพียงว่า'เฮียสุพจน์ (โจทก์) กรุณามอบเช็คหรือเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นบาทถ้วนตามที่พูดกันไว้กับสังวรณ์ไปด้วย ให้เซ็นรับไป' แล้วจำเลยลงชื่อลงวันที่ที่เขียนจดหมาย ดังนี้ จดหมายดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดเลยพอที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ และจะใช้เงินคืนให้โจทก์ จึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ส่วนเช็คนั้นก็เป็นหลักฐานแต่เพียงว่าโจทก์ได้จ่ายเช็คของโจทก์ให้จำเลยจริง และจำเลยรับเงินตามเช็คนั้นแล้ว จึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเช่นกันเมื่อการกู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงฟ้องบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่ปราศจากหลักฐานเป็นหนังสือที่ชัดเจน การฟ้องเรียกเงินกู้จึงไม่สำเร็จ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยโดยอาศัยจดหมายที่จำเลยเขียนไปถึงโจทก์และเช็คที่โจทกสั่งจ่ายเงินที่ขอกู้นั้นให้ จำเลยเป็นหลักฐาน จดหมายนั้นมีข้อความเพียงว่า "เฮียสุพจน์ (โจทก์) กรุณามอบเช็คหรือเงินสดจำนวนหนึ่งหมื่นบาทถ้วนตามที่พูดกันไว้กับสังวรณ์ไปด้วยให้เซ็นรับไป" แล้วจำเลยลงชื่อลงวันที่ที่เขียนจดหมาย ดังนี้ จดหมายดังกล่าวไม่มีข้อข่วมตอนใดเลยพอที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์และจะใช้เงินคืนให้โจทก์จึงไม่เป็น หลักฐานแห่งการกู้ยืมส่วนเช็คนั้นก็เป็นหลักฐานแต่เพียงว่าโจทก์ได้จ่ายเช็คของโจทก์ให้จำเลยจริง และจำเลยรับเงินตามเช็คนั้นแล้วจึงไม่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเช่นกันเมื่อการกู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์จึงฟ้องบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชำระหนี้ด้วยของอื่นและการระงับหนี้จากการรับชำระหนี้
ออกเช็คใช้หนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้ด้วยของอื่น เมื่อโจทก์ยอมรับและได้รับเงินตามเช็คแล้ว หนี้ก็ระงับจำเลยนำสืบการใช้เงินโดยพยานบุคคลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้คิดดอกเบี้ยเกินอัตรา: ดอกเบี้ยเป็นโมฆะ แต่ใช้เป็นหลักฐานการกู้ได้
หนังสือกู้ลงจำนวนเงินรวมดอกเบี้ยเกินอัตราเข้าด้วยตกเป็นโมฆะเฉพาะดอกเบี้ยที่เกินอัตราแต่ใช้เป็นหลักฐานการกู้ฟ้องบังคับให้ใช้เงินต้นที่กู้กันจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 80/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารปลอมและการบังคับชำระหนี้เกินจริง แม้จำเลยรับสภาพหนี้บางส่วน
โจทก์กรอกจำนวนเงินกู้ลงว่า 20,000 บาท เกินกว่าความจริงที่จำเลยรับว่ากู้ไป 2,000 บาท โดยลงลายมือชื่อในเอกสารไว้ให้โดยไม่ได้กรอกข้อความดังนี้ เป็นเอกสารปลอม แม้จำเลยจะรับว่ากู้2,000 บาท ศาลก็บังคับให้จำเลยใช้เงินตามที่รับไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับหนี้จากการชำระเงินตามเช็ค และผลกระทบต่อเอกสารสัญญากู้
ลูกหนี้ยืมเงินเจ้าหนี้โดยออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้เจ้าหนี้ไว้และทำหนังสือให้ไว้ด้วยว่าได้ยืมเงินและออกเช็คให้เจ้าหนี้ไว้ หากไม่ใช้เงินตามกำหนดให้เจ้าหนี้ฟ้องต่อศาลได้แทนสัญญากู้ ดังนี้ เมื่อธนาคารปฏิเสธการใช้เงินตามเช็ค เจ้าหนี้ฟ้องตามเอกสารนี้หรือฟ้องตามเช็คก็ได้ลูกหนี้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ตามเช็คแล้วหนี้ระงับโดยไม่ต้องมีใบรับเงินตามมาตรา 653 เมื่อหนี้ระงับแล้วเจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ตามเอกสารนั้นไม่ได้