พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,099 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2619/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงิน: หลักฐานการใช้เงิน และการนำสืบพยานบุคคล
กู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จะนำสืบการใช้เงินได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสอง เท่านั้นผู้กู้เงินจะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้ว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2485/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักฐานการกู้ยืม - การลงทุนร่วมทำกิจการ - ใบรับเงิน
ใบรับเงินที่ลูกหนี้ออกให้เจ้าหนี้เป็นการร่วมกันลงทุนทำกิจการหากำไรแบ่งกันนั้นไม่มีข้อความว่าจะใช้เงินคืนไม่เป็นหลักฐานการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดตามเช็คและการพิสูจน์มูลหนี้เดิม: จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดหากไม่ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินที่ยังค้างชำระตามเช็คพร้อมกับแนบรูปถ่ายเช็คมาท้ายฟ้อง โดยกล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์มิได้กล่าวถึงจำเลยที่ 2 ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คด้วย ฟ้องของโจทก์จึงแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีลายมือชื่อในเช็ค ทั้งรูปถ่ายเช็คท้ายฟ้องก็ไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ฉะนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือในเช็คไม่ว่าในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด อันเป็นการแสดงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คนั้น จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเพราะเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากคำฟ้องของโจทก์เอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน ได้ก่อหนี้ร่วมกันโดยจำเลยที่ 1 ออกเช็คแลกเงินสดจากโจทก์ ดังนี้ เช็คหาใช่หลักฐานแห่งหนี้หรือแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้ไม่ แต่เป็นการสั่งธนาคารให้ใช้เงิน กรณีนี้ต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยใช้เช็คแทนเงิน เกิดความผูกพันระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ซึ่งบุคคลที่ลงลายมือชื่อในเช็คเท่านั้นที่จะต้องรับผิดตามข้อความในเช็ค แม้โจทก์จะอ้างว่า ฟ้องเรียกเงินตามมูลหนี้เดิมก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มีลายมือชื่อในเช็คหากจะถือว่ามูลหนี้เดิมเป็นหนี้กู้ยืมเงิน โจทก์ก็ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 มาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 2 หาได้ไม่
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน ได้ก่อหนี้ร่วมกันโดยจำเลยที่ 1 ออกเช็คแลกเงินสดจากโจทก์ ดังนี้ เช็คหาใช่หลักฐานแห่งหนี้หรือแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้ไม่ แต่เป็นการสั่งธนาคารให้ใช้เงิน กรณีนี้ต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยใช้เช็คแทนเงิน เกิดความผูกพันระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ซึ่งบุคคลที่ลงลายมือชื่อในเช็คเท่านั้นที่จะต้องรับผิดตามข้อความในเช็ค แม้โจทก์จะอ้างว่า ฟ้องเรียกเงินตามมูลหนี้เดิมก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มีลายมือชื่อในเช็คหากจะถือว่ามูลหนี้เดิมเป็นหนี้กู้ยืมเงิน โจทก์ก็ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 มาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 2 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินต้องทำเป็นหนังสือ หากยังไม่ได้ทำสัญญาเสร็จสมบูรณ์ แม้จะมีการมอบเงินแล้ว สัญญาจึงยังไม่ผูกพัน
โจทก์เป็นข้าราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลย ได้ยื่นคำขอกู้เงินจำเลย 6,500 บาท โดยมอบอำนาจให้ ว. ศึกษาธิการอำเภอซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยเป็นผู้รับเงินแทน ในหนังสือมอบอำนาจนั้นระบุไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์ได้รับเงินกู้จากผู้รับมอบอำนาจ โจทก์จะลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และให้ผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันตามแบบของสหกรณ์ให้เสร็จไปจำเลยยอมให้กู้เพียง 6,300 บาท น้อยกว่าที่โจทก์เสนอ และได้มอบเงินให้ ว.รับไปโดย ว. ทำคำรับรองให้ไว้ต่อจำเลยว่าจะนำเงินรายนี้ไปจ่ายให้ผู้กู้ และเมื่อจ่ายเงิน จะได้จัดให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และหนังสือค้ำประกันต่อหน้า ว. ซึ่งจะได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ด้วย แล้วจะได้จัดส่งหนังสือกู้และค้ำประกันต่อจำเลยโดยเร็วที่สุด ว. จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยอยู่ด้วย เมื่อ ว.ยังไม่ได้มอบเงินให้โจทก์ จะถือว่าจำเลยได้ส่งมอบเงินที่ยืมให้โจทก์แล้วยังไม่ได้ ทั้งตามหนังสือมอบอำนาจและคำรับรองของ ว. ก็มีข้อความแสดงอยู่ว่า การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา366 วรรคท้าย ให้นับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือ การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินต้องทำเป็นหนังสือ แม้จะมอบอำนาจให้รับเงินแทน หากยังไม่ได้ทำสัญญากู้เป็นหนังสือ สัญญาไม่สมบูรณ์
โจทก์เป็นข้าราชการครูและเป็นสมาชิกสหกรณ์จำเลย ได้ยื่นคำขอกู้เงินจำเลย 6,500 บาท โดยมอบอำนาจให้ ว. ศึกษาธิการอำเภอซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งของจำเลยเป็นผู้รับเงินแทน ในหนังสือมอบอำนาจนั้นระบุไว้ด้วยว่าเมื่อโจทก์ได้รับเงินกู้จากผู้รับมอบอำนาจ โจทก์จะลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และให้ผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกันตามแบบของสหกรณ์ให้เสร็จไปจำเลยยอมให้กู้เพียง 6,300 บาท น้อยกว่าที่โจทก์เสนอ และได้มอบเงินให้ ว.รับไป โดย ว. ทำคำรับรองให้ไว้ต่อจำเลยว่าจะนำเงินรายนี้ไปจ่ายให้ผู้กู้ และเมื่อจ่ายเงิน จะได้จัดให้ผู้กู้และผู้ค้ำประกันลงลายมือชื่อในหนังสือกู้และหนังสือค้ำประกันต่อหน้า ว. ซึ่งจะได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ด้วย แล้วจะได้จัดส่งหนังสือกู้และค้ำประกันต่อจำเลยโดยเร็วที่สุด ว. จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของจำเลยอยู่ด้วย เมื่อ ว.ยังไม่ได้มอบเงินให้โจทก์ จะถือว่าจำเลยได้ส่งมอบเงินที่ยืมให้โจทก์แล้วยังไม่ได้ ทั้งตามหนังสือมอบอำนาจและคำรับรองของ ว. ก็มีข้อความแสดงอยู่ว่า การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา366 วรรคท้าย ให้นับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำเป็นหนังสือ การกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2516)
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 15/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันและการยินยอมเปลี่ยนแปลงสัญญา ก่อให้เกิดความผูกพันตามจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้น
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอเพิ่มจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีอีก 150,000 บาท และขอต่ออายุสัญญาอีก 2 ครั้ง จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญา และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ด้วย ครั้งหลังสุดจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ายังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 1,163,475.31 บาท จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญานี้ และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต่อไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาที่ได้ทำไว้นั้น ดังนี้ จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 1,163,475.31 บาท ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ครั้งหลังสุด ตามที่จำเลยที่ 2 ยินยอมเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ด้วย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1802/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้ำประกันและการยินยอมเปลี่ยนแปลงหนี้: ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดตามจำนวนหนี้ที่ยินยอมล่าสุด
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์เป็นจำนวนไม่เกิน 150,000 บาท จำเลยที่ 2 ทำหนังสือสัญญาเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอเพิ่มจำนวนเงินเบิกเกินบัญชีอีก150,000 บาท และขอต่ออายุสัญญาอีก 2 ครั้ง จำเลยที่ 2ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญา และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1เป็นหนี้โจทก์ด้วย ครั้งหลังสุดจำเลยที่ 1 ยอมรับว่ายังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นเงิน 1,163,475.31 บาท จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับทราบถึงการขอต่ออายุสัญญานี้ และจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์และยินยอมเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อไปตามข้อกำหนดแห่งสัญญาที่ได้ทำไว้นั้นดังนี้ จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 1,163,475.31 บาท ที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่ครั้งหลังสุด ตามที่จำเลยที่ 2 ยินยอมเข้าค้ำประกันจำเลยที่ 1 ด้วย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 16/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีว่าสัญญาไม่สมบูรณ์และหนี้ระงับแล้ว ศาลอนุญาตให้สืบพยานได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปแล้ว และจำเลยได้จำนองที่ดินเป็นประกันเงินที่กู้ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์กันระหว่างสามีโจทก์กับสามีจำเลย สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อจึงให้จำเลยนำที่ดินมาจำนองค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อนั้น โดยให้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองแทนเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว สัญญาจำนองไม่สมบูรณ์ และหนี้ตามสัญญาจำนองได้ระงับสิ้นไปเพราะสามีโจทก์ได้เรียกเอารถยนต์คืนไปแล้ว และในระหว่างที่รถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ที่สามีจำเลย สามีจำเลยก็ได้ส่งเงินให้สามีโจทก์ และไม่เคยติดค้างดอกเบี้ยคำให้การจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้คดีว่าจำเลยมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาที่พิพาทอยู่กับสามีโจทก์ แต่การที่ปรากฏมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยก็โดยมีเจตนาจะอำพรางตัวเจ้าหนี้ที่แท้จริงไว้ ทั้งจำเลยยังต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาที่พิพาทเป็นหนี้สืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยอ้างด้วยว่าหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไม่มีติดค้างอยู่ระหว่างสามีโจทก์และสามีจำเลย หากฟังได้สมจริงดังจำเลยต่อสู้หนี้ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองตามที่โจทก์ฟ้องก็อาจจะไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้คดีเรื่องนิติสัมพันธ์จริงของหนี้ และการนำสืบพยานตามข้อต่อสู้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ซึ่งจำเลยได้รับเงินไปแล้ว และจำเลยได้จำนองที่ดินเป็นประกันเงินที่กู้ไป จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ความจริงเป็นเรื่องการเช่าซื้อรถยนต์กันระหว่างสามีโจทก์กับสามีจำเลย สามีโจทก์เกรงจะไม่ได้เงินค่าเช่าซื้อจึงให้จำเลยนำที่ดินมาจำนองค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อนั้น โดยให้โจทก์เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนองแทนเพราะสามีโจทก์เป็นคนต่างด้าว สัญญาจำนองไม่สมบูรณ์ และหนี้ตามสัญญาจำนองได้ระงับสิ้นไปเพราะสามีโจทก์ได้เรียกเอารถยนต์คืนไปแล้ว และในระหว่างที่รถยนต์ที่เช่าซื้อยังอยู่ที่สามีจำเลย สามีจำเลยก็ได้ส่งเงินให้สามีโจทก์ และไม่เคยติดค้างดอกเบี้ยคำให้การจำเลยเช่นนี้เป็นคำให้การที่ต่อสู้คดีว่าจำเลยมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาที่พิพาทอยู่กับสามีโจทก์ แต่การที่ปรากฏมีชื่อโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลย ก็โดยมีเจตนาจะอำพรางตัวเจ้าหนี้ที่แท้จริงไว้ ทั้งจำเลยยังต่อสู้ว่าหนี้ตามสัญญาที่พิพาทเป็นหนี้สืบเนื่องมาจากหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งจำเลยอ้างด้วยว่าหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไม่มีติดค้างอยู่ระหว่างสามีโจทก์และสามีจำเลย หากฟังได้สมจริงดังจำเลยต่อสู้หนี้ตามสัญญากู้ยืมและสัญญาจำนองตามที่โจทก์ฟ้องก็อาจจะไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ ใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องคดีแพ่งไม่ได้ ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ
โจทก์ฟ้องคดีโดยอาศัยสัญญากู้เป็นพยานหลักฐาน แต่สัญญากู้ปิดอากรแสตมป์เพียง 5 บาท ขาดไป 15 บาท นับว่าตราสารสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ โจทก์จะใช้ตราสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งไม่ได้ จึงเท่ากับว่าโจทก์ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
เรื่องตราสารที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง
เรื่องตราสารที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันไว้ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง