พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,099 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจกรรมการลงนามสัญญา แม้ข้อบังคับกำหนด 2 คน แต่การยินยอมมอบอำนาจให้กรรมการคนเดียวดำเนินการได้ ถือผูกพันบริษัท
บริษัทจำเลยมีกรรมการ 3 คน ตามข้อบังคับต้องมีกรรมการ2 คน ลงชื่อเป็นสำคัญจึงจะผูกพันบริษัท แต่สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมีกรรมการคนเดียวลงชื่อ ตั้งแต่ตั้งบริษัทมากรรมการอีก 2 คนไม่เคยเข้าจัดการ ได้มอบอำนาจให้กรรมการจัดการลงชื่อเป็นผู้จัดการจึงเป็นการเชิดกรรมการผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ทำการในฐานะตัวแทน ดังนั้น สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ที่กรรมการที่ลงชื่อได้กระทำไปในหน้าที่กรรมการผู้จัดการ และเป็นตัวแทนบริษัทจำเลยและได้ประทับตราบริษัทไว้ด้วย ถือได้ว่าบริษัทจำเลยได้กระทำนิติกรรมและกิจการกับโจทก์เอง บริษัทจำเลยจะกลับปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
กรรมการบริษัทคนที่ลงชื่อในสัญญากู้ เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์เพื่อสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในนามของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยรับไว้แล้ว ถือว่ากรรมการผู้จัดการกระทำไปในนามบริษัทจำเลยทั้งสิ้น มิใช่กระทำการในฐานะส่วนตัว และบริษัทจำเลยได้รับประโยชน์จากการสั่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาจำหน่ายโดยตรงบริษัทจำเลยจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
กรรมการบริษัทคนที่ลงชื่อในสัญญากู้ เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์เพื่อสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในนามของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยรับไว้แล้ว ถือว่ากรรมการผู้จัดการกระทำไปในนามบริษัทจำเลยทั้งสิ้น มิใช่กระทำการในฐานะส่วนตัว และบริษัทจำเลยได้รับประโยชน์จากการสั่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาจำหน่ายโดยตรงบริษัทจำเลยจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1630/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจกรรมการในการทำสัญญาและการกระทำแทนบริษัท: แม้ลงชื่อคนเดียวแต่ทำหน้าที่กรรมการผู้จัดการและเป็นประโยชน์ต่อบริษัท ถือว่าบริษัทผูกพันตามสัญญา
บริษัทจำเลยมีกรรมการ 3 คน ตามข้อบังคับต้องมีกรรมการ 2 คนลงชื่อเป็นสำคัญจึงจะผูกพันบริษัท แต่สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมีกรรมการคนเดียว ลงชื่อ ตั้งแต่ตั้งบริษัทมากรรมการอีก 2 คนไม่เคยเข้าจัดการ ได้มอบอำนาจให้กรรมการจัดการลงชื่อเป็นผู้จัดการ จึงเป็นการเชิดกรรมการผู้นั้นเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ทำการในฐานะตัวแทน ดังนั้น สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญากู้ที่กรรมการที่ลงชื่อได้กระทำไปในหน้าที่กรรมการผู้จัดการ และเป็นตัวแทนบริษัทจำเลยและได้ประทับตราบริษัทไว้ด้วย ถือได้ว่าบริษัทจำเลยได้กระทำนิติกรรมและกิจการกับโจทก์เอง บริษัทจำเลยจะกลับปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
กรรมการบริษัทคนที่ลงชื่อในสัญญากู้ เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์เพื่อสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในนามของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยรับไว้แล้ว ถือว่ากรรมการผู้จัดการกระทำไปในนามบริษัทจำเลยทั้งสิ้น มิใช่กระทำการในฐานะส่วนตัว และบริษัทจำเลยได้รับประโยชน์จากการสั่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาจำหน่ายโดยตรง บริษัทจำเลยจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
กรรมการบริษัทคนที่ลงชื่อในสัญญากู้ เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตกับโจทก์เพื่อสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายในนามของบริษัทจำเลย บริษัทจำเลยรับไว้แล้ว ถือว่ากรรมการผู้จัดการกระทำไปในนามบริษัทจำเลยทั้งสิ้น มิใช่กระทำการในฐานะส่วนตัว และบริษัทจำเลยได้รับประโยชน์จากการสั่งสินค้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตเข้ามาจำหน่ายโดยตรง บริษัทจำเลยจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
แต่เดิมโจทก์ฟ้องคดีอาญาว่า จำเลยโกงเจ้าหนี้โดยจำเลยกู้เงินโจทก์ไปหนี้ยังไม่ได้ชำระก็โอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่น ศาลเห็นว่าจำเลยได้กู้เงินและยังไม่ได้ชำระจริงดังฟ้อง แต่โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ การที่จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ พิพากษายกฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องในทางแพ่งให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้รายนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยต่างอ้างพยานหลักฐานในคดีอาญา แล้วไม่สืบพยาน ศาลฎีกาเห็นว่าในการพิจารณาคดีอาญานั้น ศาลได้หยิบยกประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปหรือไม่ขึ้นมาวินิจฉัยก่อนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์และค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้องแล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการโกงเจ้าหนี้หรือไม่ ฉะนั้น ประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยในคดีอาญา เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีแพ่งให้จำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ยรายเดียวกันนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ยังคงค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1055/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุด
แต่เดิมโจทก์ฟ้องคดีอาญาว่าจำเลยโกงเจ้าหนี้โดยจำเลยกู้เงินโจทก์ไป หนี้ยังไม่ได้ชำระก็โอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่น ศาลเห็นว่าจำเลยได้กู้เงินและยังไม่ได้ชำระจริงดังฟ้อง แต่โจทก์ยังไม่ได้ใช้สิทธิทางศาลฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ การที่จำเลยโอนที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องในทางแพ่งให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้รายนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยต่างอ้างพยานหลักฐานในคดีอาญา แล้วไม่สืบพยาน ศาลฎีกาเห็นว่าในการพิจารณาคดีอาญานั้น ศาลได้หยิบยกประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปหรือไม่ขึ้นมาวินิจฉัยก่อน แล้วฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์และค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง แล้วจึงวินิจฉัยต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการโกงเจ้าหนี้หรือไม่ ฉะนั้น ประเด็นที่ว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยในคดีอาญา เมื่อโจทก์มาฟ้องคดีแพ่งให้จำเลยชำระเงินกู้และดอกเบี้ยรายเดียวกันนี้ จึงเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ยังคงค้างชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาจริงของสัญญา การนำสืบหักล้างหนี้ และการพิสูจน์จำนวนเงินที่รับจริง
จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์เพราะโจทก์ตกลงซื้อสวนมะพร้าวจำเลย จำเลยรับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งจะถือเป็นค่าสวนมะพร้าวต่อเมื่อจำเลยสามารถโอนสวนมะพร้าวให้โจทก์ได้ มิใช่โจทก์จำเลยเจตนากู้เงินกัน 60,000 บาทการทำสัญญากู้จึงเห็นการเอาหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวมาทำเป็นสัญญากู้เงินมิใช่รับเงินเนื่องจากการกู้เงินกันโดยแท้จริงในขณะทำสัญญากู้ยังไม่รู้ว่าจำเลยจะต้องคืนเงินหรือไม่แล้วแต่หนี้ที่จะเกิดจากสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวอีกส่วนหนึ่งเจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีในการทำสัญญากู้ที่ให้บังคับกันได้ก็คือให้ใช้เงินคืนแก่กันในลักษณะกู้เงินตามจำนวนที่จะต้องคืนโดยอาศัยหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวซึ่งหากจะต้องมีการคืนหรือหักเงินกันต่อไปข้างหน้าจำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบว่าความจริงจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาท มิใช่การนำสืบแปลหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำนวนหนี้ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์เพราะไม่ใช่เจตนาที่แท้จริงจำเลยมีสิทธิจะนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสุดท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 794/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาที่แท้จริงของสัญญา: สัญญาซื้อขายแฝงในสัญญาเงินกู้ การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร
จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์เพราะโจทก์ตกลงซื้อสวนมะพร้าวจำเลย จำเลยรับเงินไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งซึ่งจะถือเป็นค่าสวนมะพร้าวต่อเมื่อจำเลยสามารถโอนสวนมะพร้าวให้โจทก์ได้ มิใช่โจทก์จำเลยเจตนากู้เงินกัน 60,000 บาท การทำสัญญากู้จึงเป็นการเอาหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวมาทำเป็นสัญญากู้เงิน มิใช่รับเงินเนื่องจากการกู้เงินกันโดยแท้จริง ในขณะทำสัญญากู้ยังไม่รู้ว่าจำเลยจะต้องคืนเงินหรือไม่ แล้วแต่หนี้ที่จะเกิดจากสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวอีกส่วนหนึ่ง เจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีในการทำสัญญากู้ที่ให้บังคับกันได้ก็คือให้ใช้เงินคืนแก่กันในลักษณะกู้เงินตามจำนวนที่จะต้องคืนโดยอาศัยหนี้ตามสัญญาซื้อขายสวนมะพร้าวซึ่งหากจะต้องมีการคืนหรือหักเงินกันต่อไปข้างหน้า จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบว่าความจริงจำเลยรับเงินไปจากโจทก์เพียง 10,000 บาท มิใช่การนำสืบแปลหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร หากแต่เป็นการนำสืบหักล้างตามข้อต่อสู้ของจำเลยว่าจำนวนหนี้ตามที่กล่าวในฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ใช่เจตนาที่แท้จริง จำเลยมีสิทธิจะนำสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 วรรคสุดท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 791-792/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพรางสัญญาซื้อขายเพื่อเลี่ยงเจ้าหนี้ สัญญาใช้บังคับไม่ได้ตามมาตรา 118
โจทก์กู้ยืมเงินจำเลยไป แล้วมอบนาให้ทำกินต่างดอกเบี้ย
จำเลยให้โจทก์ทำเป็นสัญญาขายนาพิพาทอำพรางไว้ให้แก่จำเลยเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นมายึดเอาที่นาพิพาทได้สัญญาขายนาพิพาทใช้บังคับแก่คู่กรณีไม่ได้ตามมาตรา 118แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
จำเลยให้โจทก์ทำเป็นสัญญาขายนาพิพาทอำพรางไว้ให้แก่จำเลยเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้อื่นมายึดเอาที่นาพิพาทได้สัญญาขายนาพิพาทใช้บังคับแก่คู่กรณีไม่ได้ตามมาตรา 118แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขจำนวนเงินในหลักฐานกู้ยืม ไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ แม้จะเพิ่มจำนวนเงินภายหลัง
เดิมจำเลยทำสัญญากู้เงินไว้ให้โจทก์จำนวนหนึ่งต่อมาโจทก์ลอบเติมเลข 1 ลงหน้าจำนวนเงินในเอกสารนั้นทำให้จำนวนเงินกู้มากขึ้นแล้วเอาเอกสารนั้นมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลยศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนเดิมคือ จำนวนที่จำเลยยืมไปได้ การเติมเลข 1 ลงเพื่อเพิ่มจำนวนเงินกู้เดิมไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือเดิมเสียไป(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารสัญญากู้ยืมเงินหลังทำสัญญาแล้ว ไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆะ หากจำเลยได้รับเงินกู้จริง
เดิมจำเลยทำสัญญากู้เงินไว้ให้โจทก์จำนวนหนึ่ง ต่อมาโจทก์ลอบเติมเลข 1 ลงหน้าจำนวนเงินในเอกสารนั้น ทำให้จำนวนเงินกู้มากขึ้นแล้วเอาเอกสารนั้นมาฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนเดิม คือจำนวนที่จำเลยยืมไปได้ การเติมเลข 1 ลงเพื่อเพิ่มจำนวนเงินกู้เดิมไม่ทำให้หลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือเดิมเสียไป.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2508)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 685/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญากู้: พยานเบิกความรับรองการยอมรับของจำเลยต่อหน้าพยาน ถือเป็นหลักฐานการรับรองได้
เมื่อพยานในสัญญากู้คนหนึ่งอ่านสัญญาที่โจทก์และจำเลยนำมาให้อ่านแล้ว เห็นว่าตรงลายพิมพ์นิ้วมือยังไม่ได้เขียนระบุว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือจำเลย พยานคนนั้นจึงให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อความดังกล่าวกำกับไว้ที่ลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยต่อหน้าจำเลย พฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้รับรองแล้วว่าลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญานั้นคือลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย นอกจากนี้เมื่อพยานในสัญญากู้ทั้งสองคนอ่านสัญญาแล้วได้สอบถามโจทก์จำเลยว่าได้อ่านสัญญากันดีแล้วหรือ โจทก์และจำเลยต่างรับรองว่าเข้าใจเรียบร้อยแล้ว พยานทั้งสองคนจึงลงชื่อเป็นพยาน พฤติการณ์เช่นนี้พอถือได้เช่นเดียวกันว่าจำเลยได้รับรองต่อพยานทั้งสองว่าลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญากู้เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลย.