พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,099 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109-111/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินจากการเล่นแชร์ แม้เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์ ก็ใช้เป็นหลักฐานได้
ฟ้องว่าโจทก์จำเลยและคนอื่นๆ เล่นแชร์เปียหวยกัน โดยมี ส. เป็นนายวง จำเลยประมูลแชร์ไปแล้วและโจทก์ลงแชร์ในเดือนที่จำเลยประมูลไป 2,000 บาท จำเลยได้ทำหนังสือให้โจทก์ยึดถือไว้มีใจความว่า ได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 2,000 บาท ต่อมาแชร์วงนี้เลิกล้มกลางคัน โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามสัญญานั้น จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน 2,000 บาทแก่โจทก์ ดังนี้ การที่ศาลวินิจฉัยว่า ส. เป็นตัวแทนของจำเลยไปเก็บเงินจากโจทก์มามอบให้จำเลยตามวิธีการของการเล่นแชร์ เท่ากับจำเลยได้รับเงินไปจากโจทก์แล้วนั้นถือไม่ได้ว่าวินิจฉัยผิดประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และตามหนังสือกู้ยืมนั้นแสดงว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์โดยตรง ส่วนนายวงแชร์เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเท่านั้นแล้ว เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์เพราะแชร์ล้มเสียกลางคัน จำเลยก็ต้องใช้เงินให้โจทก์
หนังสือสัญญากู้ซึ่งยังมิได้ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มีผลเพียงจะนำมาแสดงเป็นพยานหลักฐานให้ศาลรับฟังยังไม่ได้เท่านั้นมิได้หมายความว่าจะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ด้วย
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือดังที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 1 นั้นไม่ได้หมายความถึงว่าในขณะยื่นฟ้องจะต้องเป็นหนังสือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ด้วย
โจทก์แนบสำเนาหนังสือสัญญากู้มาท้ายฟ้อง แล้วยื่นต้นฉบับในชั้นพิจารณา เมื่อจำเลยรับว่าต้นฉบับเอกสารนี้เป็นเอกสารของตนจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยต้นฉบับเอกสารนี้เป็นพยานหลักฐานในคดีอีกฉะนั้น หากว่าเอกสารนี้จะไม่ได้เสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดในการต้องใช้เงินตามเอกสาร
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และตามหนังสือกู้ยืมนั้นแสดงว่าจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์โดยตรง ส่วนนายวงแชร์เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเท่านั้นแล้ว เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์เพราะแชร์ล้มเสียกลางคัน จำเลยก็ต้องใช้เงินให้โจทก์
หนังสือสัญญากู้ซึ่งยังมิได้ปิดแสตมป์ให้ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มีผลเพียงจะนำมาแสดงเป็นพยานหลักฐานให้ศาลรับฟังยังไม่ได้เท่านั้นมิได้หมายความว่าจะใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมไม่ได้ด้วย
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือดังที่กล่าวไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 1 นั้นไม่ได้หมายความถึงว่าในขณะยื่นฟ้องจะต้องเป็นหนังสือที่ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ด้วย
โจทก์แนบสำเนาหนังสือสัญญากู้มาท้ายฟ้อง แล้วยื่นต้นฉบับในชั้นพิจารณา เมื่อจำเลยรับว่าต้นฉบับเอกสารนี้เป็นเอกสารของตนจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยต้นฉบับเอกสารนี้เป็นพยานหลักฐานในคดีอีกฉะนั้น หากว่าเอกสารนี้จะไม่ได้เสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดในการต้องใช้เงินตามเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1772/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนและการแปลงหนี้: การใช้หนี้แทนบุคคลอื่นและการทำสัญญากู้ยืมเงิน
เจ้าของเรือนกู้เงินโจทก์จำเลยต่อมาจำเลยจะรื้อเอาเรือนไป โจทก์คัดค้าน ในที่สุดจำเลยตกลงจะใช้หนี้ให้โจทก์แทนเจ้าของเรือนโดยโจทก์เลิกคัดค้าน มอบเรือนให้จำเลยไป ดังนี้ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีผลสมบูรณ์ผูกพันกันตามกฎหมายได้ และหากจำเลยไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ก็เป็นการแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้กู้ยืมเงินซึ่งมีผลสมบูรณ์และบริบูรณ์ตามกฎหมาย ผูกพันกันได้ตามสัญญากู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1772/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาต่างตอบแทนแปลงหนี้กู้ยืมเงิน - ผลผูกพันตามสัญญา
เจ้าของเรือนกู้เงินโจทก์จำเลย ต่อมาจำเลยจะรื้อเอาเรือนไป โจทก์คัดค้าน ในที่สุดจำเลยตกลงจะใช้หนี้ให้โจทก์แทนเจ้าของเรือน โดยโจทก์เลิกคัดค้านมอบเรือนให้จำเลยไป ดังนี้ ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีผลสมบูรณ์ผูกพันต่อกันตามกฎหมายได้ และหากจำเลยไม่มีเงินใช้ให้โจทก์ตามสัญญา จึงทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ก็เป็นการแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้กู้ยืมเงินซึ่งมีผลสมบูรณ์และบริบูรณ์ตามกฎหมาย ผูกพันกันได้ตามสัญญากู้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาทางธุรกิจระหว่างหุ้นส่วน: การออกทุนทำโรงหีบอ้อยและการชำระหนี้ด้วยน้ำตาล
(1) จำเลยไม่ส่งสำเนาเอกสารที่อ้างให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยาน 3 วัน อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 90 และโจทก์ได้คัดค้านไว้นั้น ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86
(2) การที่จำเลยให้โจทก์ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันไปทำโรงหีบอ้อย โดยจำเลยตกลงส่งน้ำตาลเชื่อมมาขายให้แก่โจทก์แล้วคิดหักบัญชีกันเป็นครั้งคราวนั้น เป็นนิติกรรมสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650,653 ฉะนั้น แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญานั้นแล้ว จำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1050
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาตามข้อ 2 นี้ มีนัยเทียบได้กับฎีกาที่ 874/2477 ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นซื้อของเชื่อไม่ใช่สัญญากู้เงิน
(2) การที่จำเลยให้โจทก์ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันไปทำโรงหีบอ้อย โดยจำเลยตกลงส่งน้ำตาลเชื่อมมาขายให้แก่โจทก์แล้วคิดหักบัญชีกันเป็นครั้งคราวนั้น เป็นนิติกรรมสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650,653 ฉะนั้น แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญานั้นแล้ว จำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1050
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาตามข้อ 2 นี้ มีนัยเทียบได้กับฎีกาที่ 874/2477 ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นซื้อของเชื่อไม่ใช่สัญญากู้เงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาหุ้นส่วนออกทุนทำโรงหีบอ้อย ไม่ใช่สัญญากู้เงิน แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ร่วมรับผิดได้
(1) จำเลยไม่ส่งสำเนาเอกสารที่อ้างให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยาน3 วัน อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90 และโจทก์ได้คัดค้านไว้นั้น ย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 (2) การที่จำเลยให้โจทก์ออกเงินและสิ่งของให้จำเลยผู้เป็นหุ้นส่วนกันไปทำโรงหีบอ้อย โดยจำเลยตกลงจะส่งน้ำตาลเชื่อมมาขายให้แก่โจทก์ แล้วคิดหักบัญชีกันเป็นครั้งคราวนั้น เป็นนิติกรรมสัญญาอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่การกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 650,653 ฉะนั้น แม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อจำเลยไว้เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ตามสัญญานั้นแล้วจำเลยก็ต้องร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1050
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาตามข้อ 2 นี้มีนัยเทียบได้กับฎีกาที่ 874/2477 ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นซื้อของเชื่อไม่ใช่สัญญากู้เงิน
หมายเหตุ คำพิพากษาฎีกาตามข้อ 2 นี้มีนัยเทียบได้กับฎีกาที่ 874/2477 ซึ่งวินิจฉัยว่าเป็นซื้อของเชื่อไม่ใช่สัญญากู้เงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาแทนผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลเป็นโมฆะ
การที่บุตรผู้เยาว์เข้าทำสัญญาเป็นลูกหนี้แทนบิดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลนั้น ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครองขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างชัดแจ้ง สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ จะบังคับเอาแก่ผู้เยาว์นั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่บุตรเยาว์ทำแทนบิดาโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลเป็นโมฆะ
การที่บุตรเยาว์เข้าทำสัญญาเป็นลูกหนี้แทนบิดาซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโดยมิได้รับอนุญาตจากศาลนั้น ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครองขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์อย่างชัดแจ้งสัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ จะบังคับเอาแก่ผู้เยาว์นั้นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากที่ไม่ผูกพันจริง ศาลวินิจฉัยเป็นนิติกรรมกู้เงินได้
โจทก์กู้เงินจำเลยแต่จำเลยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา จึงเลี่ยงทำเป็นสัญญาขายฝากที่ดินโดยจำเลยผู้ซื้อฝากจะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธินั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝากนิติกรรมขายฝากย่อมตกเป็นโมฆะ(แต่เข้าแบบเป็นนิติกรรมกู้เงิน ซึ่งโจทก์ให้ที่ดินจำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน จึงบังคับกันได้)
คดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทกฎหมายอย่างคดีอาญาเพียงแต่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและคำขอมาก็พอแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้นๆ เอง
คดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทกฎหมายอย่างคดีอาญาเพียงแต่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและคำขอมาก็พอแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้นๆ เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาขายฝากเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยเกินอัตรา ศาลพิจารณาตามเจตนาคู่สัญญา
โจทก์กู้เงินจำเลย แต่จำเลยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา จึงเลี่ยงทำเป็นสัญญาขายฝากที่ดินโดยจำเลยผู้ซื้อฝากจะไม่เอาที่ดินหลุดเป็นสิทธินั้น เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่มีเจตนาจะผูกพันกันตามสัญญาขายฝาก นิติกรรมขายฝากย่อมตกเป็นโมฆะ (แต่เข้าแบบเป็นนิติกรรมกู้เงิน ซึ่งโจทก์ให้ที่ดินจำเลยยึดถือไว้เป็นประกัน จึงบังคับกันได้)
คดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทกฎหมายอย่างคดีอาญา เพียงแต่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและคำขอมาก็พอแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้น ๆ เอง
คดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่จำต้องอ้างบทกฎหมายอย่างคดีอาญา เพียงแต่โจทก์บรรยายข้อเท็จจริงและคำขอมาก็พอแล้ว เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องยกบทกฎหมายขึ้นปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้น ๆ เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้และการใช้สัญญาที่ไม่สมบูรณ์เป็นหลักฐาน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการรับสภาพหนี้ทำให้ไม่ต้องใช้สัญญาเป็นหลักฐาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินของสามีโจทก์ไปปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยให้การรับว่าได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินไปตามฟ้องจริงแล้วโจทก์มิได้อ้างหนังสือสัญญากู้มาเป็นพยานหลักฐานในคดี(เพราะศาลงดสืบพยานโจทก์จำเลย) ต่อมาจำเลยเพิ่งมากล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์และฎีกาว่า หนังสือสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ขาดไป จะใช้เป็นหลักฐานฟ้องจำเลยไม่ได้ดังนี้ ย่อมฟังไม่ขึ้น