คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 379

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 453 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6955/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างก่อสร้างและสัญญาค้ำประกัน: การตีความสัญญาและขอบเขตความรับผิด
การจ้างก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังรวมอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกันรวมราคาค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จเป็นเงิน 14,700,000 บาท โดยไม่ได้จำแนกหรือระบุเฉพาะเจาะจงว่าอาคารแต่ละหลังราคาเท่าใด การก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังกำหนดแล้วเสร็จในวันที่ 22 มีนาคม 2531 ในสัญญาตกลงว่า ถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยยอมให้ปรับเป็นรายวันวันละ 10,000 บาทและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายวันวันละ 200 บาท โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าปรับหรือค่าควบคุมงานของอาคารหลังใด ประการสำคัญหากโจทก์กับจำเลยประสงค์จะให้มีการปรับและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายหลังต่อวันก็น่าจะตกลงไว้ในสัญญาให้ชัดแจ้งเมื่อไม่มีการตกลงกันเช่นนี้และกรณีมีข้อสงสัย จึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นคือจำเลย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 11จำเลยคงต้องรับผิดในค่าปรับและค่าควบคุมงานเป็นรายวันโดยรวมอาคารทั้งสามหลัง
สัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยเท่านั้น มิใช่มัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 377 ที่โจทก์จะใช้สิทธิริบจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นมัดจำได้ ฉะนั้น แม้สัญญาค้ำประกันจะเป็นเอกสารปลอม โจทก์ก็จะอ้างเป็นเหตุให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามจำนวนในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ไม่ได้ หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการปลอมและใช้สัญญาค้ำประกันปลอมอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้กระทำความผิดนั้นต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6955/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าปรับและค่าควบคุมงานจากการก่อสร้างล่าช้า สัญญาค้ำประกันไม่ใช่หลักประกันหนี้
การจ้างก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังรวมอยู่ในสัญญาฉบับเดียวกันรวมราคาค่าก่อสร้างเบ็ดเสร็จเป็นเงิน14,700,000บาทโดยไม่ได้จำแนกหรือระบุเฉพาะเจาะจงว่าอาคารแต่ละหลังราคาเท่าใดการก่อสร้างอาคารทั้งสามหลังกำหนดแล้วเสร็จในวันที่22มีนาคม2531ในสัญญาดังกล่าวถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยยอมให้ปรับเป็นรายวันละ10,000บาทและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายวันวันละ200บาทโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นค่าปรับหรือค่าควบคุมงานของอาคารหลังใดประการสำคัญหากโจทก์กับจำเลยประสงค์จะให้มีการปรับและจ่ายค่าควบคุมงานเป็นรายหลังต่อวันก็น่าจะตกลงไว้ในสัญญาให้ชัดแจ้งเมื่อไม่มีการตกลงกันเช่นนี้และกรณีมีข้อสงสัยจึงต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายซึ่งจะเป็นผู้ต้องเสียในมูลหนี้นั้นคือจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา11จำเลยคงต้องรับผิดในค่าปรับและค่าควบคุมงานเป็นรายวันโดยรวมอาคารทั้งสามหลัง สัญญาค้ำประกันเป็นเพียงสัญญาซึ่งผู้ค้ำประกันผูกพันต่อโจทก์เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยเท่านั้นมิใช่มัดจำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา377ที่โจทก์จะใช้สิทธิริบจำนวนเงินในสัญญาค้ำประกันในฐานะเป็นมัดจำได้ฉะนั้นแม้สัญญาค้ำประกันจะเป็นเอกสารปลอมโจทก์จะอ้างเป็นเหตุให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามจำนวนในสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ไม่ได้หากโจทก์ได้รับความเสียหายจากการปลอมและใช้สัญญาค้ำประกันปลอมอย่างไรก็เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องไปเรียกค่าเสียหายเอาจากผู้กระทำความผิดนั้นต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ขาดจำนวนน้อย ก็ไม่ถือเป็นการผิดสัญญาหากเจตนาดีและมีการชำระหนี้ครบถ้วนในภายหลัง
จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นงวดๆตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตลอดมาโดยวางเงินต่อศาลจึงถึงงวดสุดท้ายจำเลยก็ได้ชำระเงินภายในกำหนดเวลาจำเลยจึงหาได้กำหนดเวลาจำเลยจึงหาได้ผิดนัดชำระหนี้ไม่เพียงแต่งวดสุดท้ายชำระหนี้ขาดไป40,000บาทซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนหนี้ทั้งหมด2,150,000บาทแล้วนับว่าเป็นส่วนน้อยมากและเกิดขึ้นเพราะความเผอเรออีกทั้งเมื่อจำเลยทราบเหตุก็ได้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไปทันทีแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไปโดยมิได้อิดเอื้อนจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัดอันจะเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มตามฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6235/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้มีส่วนขาด แต่ไม่ถือเป็นผิดนัด
จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอมตลอดมาโดยวางเงินต่อศาล จนถึงงวดสุดท้ายจำเลยก็ได้ชำระเงินภายในกำหนดเวลา จำเลยจึงหาได้ผิดนัดชำระหนี้ไม่ เพียงแต่งวดสุดท้ายชำระหนี้ขาดไป 40,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับจำนวนหนี้ทั้งหมด2,150,000 บาท แล้ว นับว่าเป็นส่วนน้อยมากและเกิดขึ้นเพราะความเผอเรอ อีกทั้งเมื่อจำเลยทราบเหตุก็ได้นำเงินมาวางต่อศาลเพื่อให้โจทก์รับไปทันที แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่มีเจตนาที่จะบิดพลิ้วในการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ และต่อมาโจทก์ก็ขอรับเงินดังกล่าวไปโดยมิได้อิดเอื้อน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดนัด อันจะเป็นเหตุให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มตามฟ้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6105/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าปรับรายวันหลังขยายเวลาสัญญาและการบอกเลิกสัญญาภายใต้ข้อตกลง
จำเลยทำสัญญารับจ้างซ่อมรถยนต์กับโจทก์โดยจำเลยต้องซ่อมให้แล้วเสร็จในวันที่20ตุลาคม2530หากผิดนัดโจทก์มีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามที่ระบุในสัญญาจ้างข้อ5หากจำเลยซ่อมไม่เสร็จตามสัญญาโดยโจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญาจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันวันละ100บาทจนกว่าจำเลยจะซ่อมเสร็จและในระหว่างที่มีการปรับนั้นหากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฎิบัติตามสัญญาต่อไปได้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ20นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยตามที่ระบุในสัญญาจ้างข้อ19(1)และวรรคสุดท้ายดังนี้ตามสัญญาจ้างข้อ5เป็นกรณีที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเพราะไม่สามารถซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญาแต่คดีนี้เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วโจทก์ยังให้จำเลยปฎิบัติตามสัญญาต่อไปโดยมีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฎิบัติตามสัญญาและสงวนสิทธิเรียกค่าปรับตามสัญญาต่อมาเมื่อจำเลยไม่อาจซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้เสร็จได้โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาจึงเป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาจ้างข้อ19ซึ่งนอกจากโจทก์จะมีสิทธิรับหลักประกันตามสัญญาจ้างข้อ20(1)แล้วโจทก์ยังมีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันในระหว่างที่ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาตามสัญญาจ้างข้อ19(1)และวรรคสุดท้ายได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6105/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาจ้างซ่อมรถยนต์และการเรียกร้องค่าปรับรายวัน
จำเลยทำสัญญารับจ้างซ่อมรถยนต์กับโจทก์โดยจำเลยต้องซ่อมให้แล้วเสร็จในวันที่ 20 ตุลาคม 2530 หากผิดนัดโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามที่ระบุในสัญญาจ้างข้อ 5 หากจำเลยซ่อมไม่เสร็จตามสัญญาโดยโจทก์ยังมิได้บอกเลิกสัญญา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันวันละ 100 บาท จนกว่าจำเลยจะซ่อมเสร็จ และในระหว่างที่มีการปรับนั้นหากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 20 นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วย ตามที่ระบุในสัญญาจ้างข้อ 19 (1) และวรรคสุดท้าย ดังนี้ตามสัญญาจ้างข้อ 5 เป็นกรณีที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเพราะไม่สามารถซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญา แต่คดีนี้เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วโจทก์ยังให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาต่อไปโดยมีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและสงวนสิทธิเรียกค่าปรับตามสัญญา ต่อมาเมื่อจำเลยไม่อาจซ่อมรถยนต์ของโจทก์ให้เสร็จได้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาจ้างข้อ 19 ซึ่งนอกจากโจทก์จะมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาจ้างข้อ 20 (1) แล้ว โจทก์ยังมีสิทธิที่จะเรียกค่าปรับเป็นรายวันในระหว่างที่ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาตามสัญญาจ้างข้อ 19 (1) และวรรคสุดท้ายได้อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการเลิกสัญญาจ้างเหมา: โจทก์ต้องพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง
คดีที่จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาทเป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการ วินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน
ตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างข้อหนึ่ง ถ้าจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างมิได้ลงมือทำงานภายในกำหนดเวลา โจทก์ผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและจ้างผู้อื่นทำงานจ้างเหมาก่อสร้างต่อจากจำเลยได้ และอีกข้อหนึ่งแห่งสัญญาดังกล่าวกำหนดว่า ถ้าโจทก์ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญา จำเลยผู้รับจ้างยอมให้โจทก์เรียกเอาค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นเพราะจ้างบุคคลอื่นทำการต่อไปจนงานจ้างเหมาก่อสร้างแล้วเสร็จบริบูรณ์ ดังนี้ ค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่เกิดจากการที่จำเลยที่ 1ปฏิบัติผิดสัญญาและโจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญา แม้จะมิใช่เบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 สัญญาแก่โจทก์ว่าจะใช้ให้เมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ตาม แต่โจทก์จะมีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวต่อเมื่อโจทก์ได้รับความเสียหายที่แท้จริงเท่านั้น ศาลจึงมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ไปตามความเสียหายที่แท้จริงได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5490/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาจ้างก่อสร้าง: ใช้บังคับเมื่อลงมือทำงานแล้ว แต่ไม่แล้วเสร็จ ไม่ครอบคลุมกรณีไม่ลงมือทำงานเลย
สัญญาจ้างข้อ19(1)ระบุว่าถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันนับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญาและตามสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อสัญญาว่าถ้าจำเลยไม่ลงมือทำการก่อสร้างเลยได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้อย่างไรเบี้ยปรับตามสัญญาข้อ19(1)เป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สำหรับกรณีที่จำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่ากันแล้วเสร็จตามสัญญาซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่จำเลยได้ลงมือทำการก่อสร้างแล้วแต่การก่อสร้างนั้นไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยที่ยังมิได้ทำการก่อสร้างตามสัญญาเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาข้อ19(1)จากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5490/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาจ้าง: ใช้บังคับเมื่อลงมือทำงานแล้วเท่านั้น
สัญญาจ้างข้อ 19 (1) ระบุว่า ถ้าจำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันนับแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันแล้วเสร็จตามสัญญา และตามสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อสัญญาว่าถ้าจำเลยไม่ลงมือทำการก่อสร้างเลยได้กำหนดเบี้ยปรับกันไว้อย่างไร เบี้ยปรับตามสัญญาข้อ 19 (1) เป็นเบี้ยปรับที่กำหนดไว้สำหรับกรณีที่จำเลยส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะใช้บังคับเฉพาะในกรณีที่จำเลยได้ลงมือทำการก่อสร้างแล้ว แต่การก่อสร้างนั้นไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาโดยที่ยังมิได้ทำการก่อสร้างตามสัญญาเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาข้อ 19 (1) จากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขาย: สิทธิเรียกร้องค่าปรับและหน้าที่ชำระราคาที่ดินเมื่อศาลบังคับตามสัญญา
ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 3 มีข้อความว่าถ้าผู้จะขายผิดสัญญา ผู้จะขายยอมให้ผู้จะซื้อฟ้องบังคับให้เป็นไปตามสัญญาและยอมใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อจำนวน 30,000 บาท เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ผิดสัญญา แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทและกำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับเบี้ยปรับตามที่ได้กำหนดไว้ในสัญญา
แม้คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ทั้งสองมิได้ขอชำระราคาที่ดินให้จำเลยทั้งสอง แต่การซื้อขายที่ดินเป็นสัญญาต่างตอบแทน ต่างฝ่ายก็มีหน้าที่ชำระหนี้ต่อกัน เมื่อศาลอุทธรณ์บังคับให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองก็มีหน้าที่ต้องชำระราคาค่าที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์ชำระค่าที่ดินพิพาทส่วนที่เหลือแก่จำเลยทั้งสองนั้นชอบแล้วไม่เป็นการเกินคำขอ
of 46