พบผลลัพธ์ทั้งหมด 154 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1195/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินมัดจำจากการบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดิน: เป็นเงินได้พึงประเมินตามกฎหมายภาษี
โจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่ อ.โดย อ.วางมัดจำไว้ในวันทำสัญญา 9,000,000 บาท แต่ อ.ไม่มารับโอนที่ดินในวันนัด โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิรับเงินมัดจำดังกล่าวตามสัญญา ดังนี้ แม้ อ.จะฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนก็เป็นการฟ้องหลังจากที่โจทก์ได้ริบเงินมัดจำแล้ว หาใช่ว่าโจทก์ยังมิได้ริบเงินมัดจำหรือเป็นกรณีที่โจทก์จะมีสิทธิริบเงินมัดจำหรือไม่ยังไม่ทราบ อันจะถือว่าเงินมัดจำเป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะได้รับมาในภายหน้าไม่ เงินมัดจำดังกล่าวจึงเป็นเงินที่โจทก์ได้รับเนื่องจาก อ.ซึ่งเป็นคู่สัญญาปฏิบัติผิดสัญญา จึงเป็นเงินได้จากการอื่น ๆ ตามมาตรา 40 (8) แห่ง ป.รัษฎากร และเป็นเงินได้พึงประเมินที่โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 39
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาศุลกากรและอำนาจฟ้องคดีภาษี: การเทียบราคาตามบัตรราคาต้องมีหลักเกณฑ์ที่น่าเชื่อถือ และศาลต้องมีข้อเท็จจริงยุติเกี่ยวกับอำนาจฟ้อง
สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคาร และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขาย มีจำนวนเงินตรงกับใบกำกับสินค้า และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ ย่อมมีเหตุผลรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อ และชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริงจึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517 ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปี อีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตามแต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษีอากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3042/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาศุลกากร: ราคาที่แท้จริงในท้องตลาดต้องเป็นปัจจุบันและสอดคล้องกับหลักฐานการซื้อขายจริง
สินค้าพิพาทโจทก์สั่งซื้อได้ชำระราคาโดยเปิดเล็ตเตอร์ออฟเครดิตไว้กับธนาคาร และธนาคารได้หักบัญชีค่าสินค้าจากโจทก์ส่งให้ผู้ขาย มีจำนวนเงินตรงกับใบกำกับสินค้า และตรงกับที่โจทก์สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้า อีกทั้งจำเลยทั้งสองก็มิได้นำสืบปฏิเสธในเรื่องนี้ ย่อมมีเหตุผลรับฟังได้ว่า โจทก์ได้สั่งซื้อและชำระราคาสินค้าไปตามที่ได้สำแดงไว้ในใบขนสินค้าขาเข้าจริง จึงพอฟังได้ในเบื้องต้นว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปีอีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษี-อากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยทั้งสองได้ประเมินราคาสินค้าพิพาทโดยเทียบเคียงกับบัตรราคาซึ่งเป็นไปตามคำสั่งทั่วไปของจำเลยที่ 1 ที่ 24/2517 บางรายการต้องอาศัยการเทียบเคียงกับบัตรราคาที่ใกล้เคียงและตามประกาศกองตีราคาที่ 1/2517ที่ 3/2517 และตามรายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับราคาศุลกากรครั้งที่ 5 หลักเกณฑ์ตามคำสั่งทั่วไปและการเทียบเคียงตามประกาศการตีราคาดังกล่าวเป็นแนวปฏิบัติเพื่อหาราคาอันแท้จริงในท้องตลาดเท่านั้น หาเป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าราคาของสินค้าที่นำเข้าจะต้องเป็นจริงตามนั้นไม่ คำสั่งและประกาศดังกล่าวมีมานานแล้วตั้งแต่ปี 2517 มีระยะเวลาก่อนที่โจทก์จะนำสินค้าพิพาทเข้ามาถึง 10 ปีอีกทั้งบัตรราคานั้น แม้ว่ากองวิเคราะห์และประเมินราคาร่วมกันกำหนดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ความว่าราคาในบัตรนั้นกำหนดขึ้นโดยมีหลักเกณฑ์อย่างใด และไม่ปรากฏว่าราคาในบัตรนั้นเป็นราคาของสินค้าในปีใด อีกทั้งแม้จะปรากฏว่าบัตรพิพาทได้กำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 ก็เป็นระยะเวลาห่างไกลกับระยะเวลาที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามา จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าราคาที่จำเลยที่ 1 นำมาเทียบเคียงนั้นเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสองยกขึ้นอุทธรณ์ได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นกล่าวในศาลภาษีอากรกลางก็ตาม แต่การจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนี้ได้จะต้องได้ข้อเท็จจริงอันเป็นยุติด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว ปรากฏในคดีสำนวนแรกแม้จำเลยที่ 1 จะให้การไว้ด้วยว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมิน แต่ในคดีสำนวนหลัง โจทก์ก็ได้ให้การต่อสู้ไว้ด้วยว่าได้อุทธรณ์การประเมินแล้ว ศาลภาษี-อากรกลางหาได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทให้ทั้งสองฝ่ายนำสืบถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ไม่ อีกทั้งในการสืบพยานของโจทก์ก็ไม่มีพยานโจทก์คนใดเบิกความยอมรับว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินดังกล่าว จึงไม่มีข้อเท็จจริงในกระบวนพิจารณาโดยชอบที่จะใช้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3569/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินราคาภาษีอากรที่ถูกต้องตามราคาตลาด และความรับผิดของหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้คือกระจกส่องหลัง พนักพิงหลังและแผ่นรองพื้น เป็นราคาต่ำกว่าราคาแท้จริงในท้องตลาดพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงประเมินราคาสินค้าและภาษีอากรใหม่ มีรายละเอียดตามสำเนาใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าท้ายฟ้อง สำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง มีข้อความระบุไว้ว่า ประเมินราคาสินค้าแต่ละรายการเพิ่มขึ้นเท่าใด คิดเป็นอากรขาเข้าและภาษีการค้าจำนวนเท่าใด คำฟ้องโจทก์แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
บัตรราคาเป็นเอกสารภายในที่โจทก์ทำขึ้น บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้ ทั้งมีข้อความส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงรายละเอียดของสินค้าตามบัตรราคาดังกล่าวว่าเป็นชนิดและขนาดใดมีลักษณะอย่างไร ราคาเป็นเงินไทยเท่าใด นำเข้าโดยใคร และเมื่อใด สินค้าตามบัตรราคาเป็นสินค้าสำหรับโซนยุโรป แต่สินค้ารายพิพาทมีแหล่งกำเนิดในโซนเอเชียซึ่งเป็นสินค้าต่างแหล่งกำเนิดกัน เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจนำราคาสินค้าตามบัตรราคามาใช้เป็นเกณฑ์ประเมินราคาสินค้ารายพิพาทได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2จะอุทธรณ์เพียงผู้เดียว เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าตามฟ้องไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) พ.ศ.2528 มาตรา 29
บัตรราคาเป็นเอกสารภายในที่โจทก์ทำขึ้น บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้ ทั้งมีข้อความส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงรายละเอียดของสินค้าตามบัตรราคาดังกล่าวว่าเป็นชนิดและขนาดใดมีลักษณะอย่างไร ราคาเป็นเงินไทยเท่าใด นำเข้าโดยใคร และเมื่อใด สินค้าตามบัตรราคาเป็นสินค้าสำหรับโซนยุโรป แต่สินค้ารายพิพาทมีแหล่งกำเนิดในโซนเอเชียซึ่งเป็นสินค้าต่างแหล่งกำเนิดกัน เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าว จึงไม่อาจนำราคาสินค้าตามบัตรราคามาใช้เป็นเกณฑ์ประเมินราคาสินค้ารายพิพาทได้
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดโดยอ้างว่า จำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2จะอุทธรณ์เพียงผู้เดียว เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าตามฟ้องไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) พ.ศ.2528 มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3569/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมที่ไม่ชอบตามกฎหมายและการรับผิดของหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้คือกระจกส่องหลัง พนักพิงหลังและแผ่นรองพื้น เป็นราคาต่ำกว่าราคาแท้จริงในท้องตลาด พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์จึงประเมินราคาสินค้าและภาษีอากรใหม่ มีรายละเอียดตามสำเนาใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าท้ายฟ้อง สำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง มีข้อความระบุไว้ว่า ประเมินราคาสินค้าแต่ละรายการเพิ่มขึ้นเท่าใด คิดเป็นอากรขาเข้าและภาษีการค้าจำนวนเท่าใด คำฟ้องโจทก์แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม บัตรราคาเป็นเอกสารภายในที่โจทก์ทำขึ้น บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้ ทั้งมีข้อความส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบถึงรายละเอียดของสินค้าตามบัตรราคาดังกล่าวว่าเป็นชนิดและขนาดใด มีลักษณะอย่างไร ราคาเป็นเงินไทยเท่าใด นำเข้าโดยใคร และเมื่อใดสินค้าตามบัตรราคาเป็นสินค้าสำหรับโซนยุโรป แต่สินค้ารายพิพาทมีแหล่งกำเนิดในโซนเอเซีย ซึ่งเป็นสินค้าต่างแหล่งกำเนิดกัน เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้ได้ความดังกล่าวจึงไม่อาจนำราคาสินค้าตามบัตรราคามาใช้เป็นเกณฑ์ประเมินราคาสินค้ารายพิพาทได้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2จะอุทธรณ์เพียงผู้เดียว เมื่อฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องเนื่องจากโจทก์ประเมินภาษีอากรเพิ่มเติมสำหรับใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้าตามฟ้องไม่ชอบ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2465/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษี: เจ้าพนักงานประเมินต้องไต่สวนและแจ้งการประเมินให้ผู้ถูกประเมินทราบก่อน จึงจะฟ้องร้องเรียกค่าภาษีได้
การที่จะให้ลูกจ้าง หรือผู้ทำการแทน หรือผู้ทำการติดต่อรับผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ วรรคแรก นั้น เจ้าพนักงานประเมินจะต้องเรียกบุคคลผู้ต้องรับผิดมาไต่สวนแล้วแจ้งจำนวนเงินที่ประเมินไปยังบุคคลผู้ต้องรับผิด ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19,20ก่อน เพื่อที่บุคคลนั้นจะได้มีโอกาสอุทธรณ์การประเมินตามความในวรรคสาม เมื่อโจทก์ไม่ได้เรียก ด. ไปไต่สวนและแจ้งการประเมินดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ด. ให้ต้องรับผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ และย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกัน ด. ด้วย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นค่าภาษีสินค้าที่เสียหายจากอุบัติเหตุทางเรือ ศาลมีอำนาจพิพากษายกเว้นได้ แม้เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากร
สินค้าถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งอธิบดีกรมศุลกากรอาจยกเว้นค่าภาษีที่จะต้องเสียหรือคืนค่าภาษีที่ได้เสียแล้วสำหรับของนั้นได้ตาม พระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 95 แต่ในกรณีกรมศุลกากรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยย่อมถือได้โดยปริยายแล้วว่า อธิบดีกรมศุลกากรได้ใช้ดุลพินิจไม่ยกเว้นค่าภาษีให้แก่จำเลยตามมาตรา 95 ดังกล่าวแล้ว กรณีจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 95 ที่ศาลมีอำนาจพิพากษาให้ยกเว้นค่าภาษีแก่จำเลยได้ แต่ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า สินค้าพิพาทถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ผู้นำเข้าควรได้รับการยกเว้นค่าภาษีที่จะต้องเสียแล้วพิพากษายกฟ้องเพื่อให้อธิบดีกรมศุลกากรใช้ดุลพินิจยกเว้นค่าภาษีที่จะต้องเสียให้แก่จำเลยหรือไม่ต่อไปนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5),246 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกเว้นภาษีสินค้าที่ถูกทำลายจากอุบัติเหตุและการใช้ดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรเมื่อโจทก์ฟ้องเอง
กรณีที่สินค้าที่นำเข้าถูกเพลิงไหม้ เป็นการถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ขณะอยู่บนเรือ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรที่จะสั่งยกเว้นภาษีได้ แต่เมื่อกรมศุลกากรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยผู้ซึ่งมีสิทธิที่จะร้องขอให้ยกเว้นภาษีเสียเองแล้ว ย่อมถือได้โดยปริยายว่า อธิบดีกรมศุลกากรได้ใช้ดุลพินิจไม่ยกเว้นค่าภาษีให้แก่จำเลย ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 95
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้นำของเข้าควรได้รับยกเว้นภาษีที่จะต้องเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5),246 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528มาตรา 29
การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้นำของเข้าควรได้รับยกเว้นภาษีที่จะต้องเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5),246 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2460/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่อนุญาตให้สืบพยานเพิ่มเติมในคดีภาษีอากร หากไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นข้อพิพาท ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
กรณีที่สินค้าที่นำเข้าถูกเพลิงไหม้ เป็นการถูกทำลายโดยอุบัติเหตุอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ขณะอยู่บนเรือ เป็นดุลพินิจของอธิบดีกรมศุลกากรที่จะสั่งยกเว้นภาษีได้แต่เมื่อกรมศุลกากรเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยผู้ซึ่งมีสิทธิที่จะร้องขอให้ยกเว้นภาษีเสียเองแล้ว ย่อมถือได้โดยปริยายว่าอธิบดีกรมศุลกากรได้ใช้ดุลพินิจไม่ยกเว้นค่าภาษีให้แก่จำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 95 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ผู้นำของเข้าควรได้รับยกเว้นภาษีที่จะต้องเสีย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)246 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรพ.ศ. 2528 มาตรา 29
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1010/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าสินค้า การคำนวณราคาฐานภาษี และอำนาจฟ้องเรียกคืนภาษีอากรที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ราคาของที่จะนำมาเป็นฐานในการคำนวณภาษีอากรนั้น ต้องคิดจากราคาสินค้ารวมกับค่าประกันภัยและค่าระวางหรือค่าขนส่งสินค้าซึ่งเรียกว่าราคา ซี.ไอ.เอฟ. ค่าระวางหรือค่าขนส่งสินค้าจึงเป็นส่วนหนึ่งของราคาของ การที่โจทก์โต้แย้งเรื่องค่าขนส่งหรือค่าระวางสินค้าถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับราคาแห่งของเมื่อโจทก์มิได้แจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากรตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคห้า โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกร้องขอคืนอากรขาเข้ารวมถึงค่าธรรมเนียมพิเศษที่ให้นำกฎหมายว่าด้วยการศุลกากรมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องกำหนดระเบียบการเรียกเก็บและวิธีการชำระค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร ลงวันที่ 7 มิถุนายน 2533 แม้การที่เจ้าพนักงานประเมินได้มีคำสั่งประเมินภาษีอากรเพิ่มขึ้นจากที่โจทก์สำแดงโดยเพิ่มค่าระวางขนส่งให้สูงขึ้นจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้วก็ตาม แต่ในกรณีเช่นนี้กฎหมายกำหนดขั้นตอนที่โจทก์จะต้องปฏิบัติก่อน เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดจึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์การประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกคืนภาษีอากรดังกล่าว ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นต่อสู้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้