พบผลลัพธ์ทั้งหมด 253 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8387/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสั่งให้ส่งสำเนาฎีกาซ้ำซ้อน ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งเดิม ชี้โจทก์สำคัญผิดเนื่องจากส่งเอกสารไปแล้ว
ในชั้นร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา โจทก์ได้ส่งสำเนาคำร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลและสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับเอกสารดังกล่าวแล้ว เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาทั้งหมด ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้แล้วออกหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบกับกำหนดให้จำเลยแก้ฎีกาของโจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหมายนัด ไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยซ้ำอีก การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยแก้ในครั้งหลังนี้อีกจึงเป็นการผิดหลง และเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าการที่โจทก์ได้ส่งสำเนาฎีกาให้แก่จำเลยไว้ดังกล่าวข้างต้น เป็นการที่โจทก์ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีก จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยตามคำสั่งศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 552/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฎีกาและการไม่รับวินิจฉัยฟ้องแย้งเนื่องจากประเด็นกรรมสิทธิ์เชื่อมโยงกับฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่ารถแบ็คโฮพิพาทเป็นของโจทก์แต่ให้ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในคู่มือจดทะเบียนแทน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนรถแบ็คโฮพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ยืมรถแบ็คโฮพิพาทแล้วผิดสัญญา ขอให้โจทก์คืนรถแบ็คโฮพิพาทหรือใช้ราคาแทนแก่จำเลยทั้งสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนรถแบ็คโฮพิพาทแก่โจทก์และยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และให้บังคับคดีตามฟ้องแย้ง แต่จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในส่วนฟ้องแย้ง โดยไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในส่วนของฟ้องเดิม ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาในส่วนฟ้องเดิมให้ครบถ้วน จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฎีกาในส่วนฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 ประกอบมาตรา 246 และ 247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง แต่เมื่อประเด็นข้อพิพาทตามฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองเป็นการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในรถแบ็คโฮพิพาท ซึ่งปัญหาดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับประเด็นที่พิพาทในส่วนฟ้องเดิมที่จำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยแยกออกจากกันได้และไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ประเด็นปัญหาในส่วนฟ้องแย้งจึงไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นฟ้อง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16887/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องค่าธรรมเนียม ทำให้ฎีกาถูกทิ้ง และคดีถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาของจำเลยว่า ให้จำเลยวางเงินค่านำส่งตามข้อบังคับว่าด้วยการส่งคำคู่ความและเอกสารทางคดีในวันถัดไป จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องวางเงินค่านำส่งดังกล่าวภายในเวลาที่ศาลกำหนด เมื่อจำเลยไม่วางเงินค่านำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งของศาลและศาลฎีกามีคำสั่งว่าจำเลยทิ้งฎีกา ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความแล้ว คดีย่อมถึงที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาเพื่อคัดค้านคำสั่งของศาลฎีกาได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8875/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง: ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายในคดีส่วนอาญาได้ยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์จำเลยไป ส่วนการสืบพยานส่วนแพ่งให้รอไว้หลังจากสืบพยานโจทก์จำเลยในคดีอาญาเสร็จแล้วนั้น หมายถึงว่า เมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยในคดีส่วนอาญาเสร็จแล้ว หากคู่ความฝ่ายใดประสงค์จะสืบพยานเพิ่มเติมตามประเด็นแห่งคดีในส่วนแพ่งซึ่งยังไม่ได้นำสืบตามประเด็นในคดีส่วนอาญา ศาลจะพิจารณาสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้คู่ความนำสืบตามขอหรือไม่ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบไปแล้วในคดีส่วนอาญาว่าเพียงพอจะวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในคดีส่วนแพ่งหรือไม่ ซึ่ง ป.วิ.อ. มาตรา 47 บัญญัติว่า คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง... ป.พ.พ. มาตรา 438 บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแต่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด... ศาลจึงมีอำนาจกำหนดจำนวนค่าสินไหมทดแทนให้ได้โดยวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาโดยไม่จำต้องสืบพยานเพิ่มเติมอีก ส่วนที่สั่งว่าให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การในส่วนแพ่งภายใน 14 วัน มิฉะนั้นถือว่าไม่ติดใจนั้น หมายถึงจำเลยไม่ติดใจให้การแก้คดี ไม่ใช่ผู้ร้องไม่ติดใจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน และเมื่อสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้วศาลสอบผู้ร้องในส่วนของการสืบพยานเพิ่มเติม ผู้ร้องแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลมีคำสั่งว่าคดีเสร็จการพิจารณา หมายความว่า ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในสำนวนที่ได้สืบมาแล้วเพียงพอที่จะวินิจฉัยชี้ขาดคดีได้แล้วจึงไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้ร้องนำพยานมาสืบเพิ่มเติม จึงไม่มีกรณีที่จะถือว่าผู้ร้องทิ้งคำร้อง และคำพิพากษาในส่วนค่าสินไหมทดแทนไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3850/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำส่งหมายอุทธรณ์ล่าช้า ไม่ถือเป็นการทิ้งฟ้อง หากมีเหตุผลและความพยายามในการดำเนินการ
ทนายความโจทก์ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้เสียค่าฤชาธรรมเนียมเพิ่ม และได้ลงลายมือชื่อในตราประทับให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์วันที่ 23 กรกฎาคม 2544 จึงถือไม่ได้ว่าทนายความโจทก์ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วในวันนั้น แม้ต่อมาทนายความโจทก์ได้มายื่นคำคัดค้านคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองพร้อมทั้งยื่นคำแถลงขอยื่นบัญชีระบุพยานในชั้นไต่สวนอนาถาต่อศาลชั้นต้นและต่อมาได้มอบฉันทะให้เสมียนทนายความโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนการพิจารณาก็ไม่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของโจทก์ แต่เป็นการดำเนินคดีชั้นไต่สวนอนาถา เมื่อถึงวันนัดไต่สวนคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นไม่อาจดำเนินการไต่สวนได้เพราะศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งในเรื่องที่โจทก์ไม่นำส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสอง ทนายความโจทก์จึงได้ยื่นคำแถลงขออนุญาตนำส่งและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง ทั้งค่าขึ้นศาลที่เสียเพิ่มไปแล้วก็เป็นเงินจำนวนมาก ไม่มีเหตุผลอะไรที่โจทก์จะทิ้งฟ้องอุทธรณ์ พฤติการณ์ไม่แน่ชัดว่าทนายความโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการนำส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสอง ประกอบกับทนายความโจทก์ได้ยื่นคำแถลงขออนุญาตนำส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์ก่อนศาลอุทธรณ์ส่งคำพิพากษามาอ่าน และปัญหาที่อุทธรณ์เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรให้โอกาสโจทก์ได้นำส่งหมายและสำเนาอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7981/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีทิ้งฟ้องได้ หากมีเหตุผลสมควรและมิได้จงใจทิ้งฟ้อง ศาลมีอำนาจไต่สวนและเพิกถอนคำสั่งเดิมได้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 132 (1) ทำให้คดีเสร็จไปจากศาล เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีแล้วคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งใหม่ให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีเช่นนี้เกิดขึ้นภายหลังคำสั่งจำหน่ายคดี จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาอันต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (1) จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้
แม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งจำหน่ายคดีโดยเห็นว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มายื่นคำร้องแสดงเหตุอันสมควร ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์เพื่อทราบข้อเท็จจริงและหากเห็นว่ามีการกระทำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลงและเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวโดยสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้นเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
แม้ตามคำร้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่า คำสั่งทิ้งฟ้องของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งมิชอบอย่างไร แต่เมื่อพิเคราะห์คำร้องของโจทก์แล้วก็พอแปลได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างว่ามีการดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงและถึงแม้ความเข้าใจผิดของผู้กระทำไม่ว่าจะเป็นศาลหรือคู่ความหรือเจ้าพนักงานก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คำร้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนโจทก์ได้ความว่า ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่สามารถมาศาลในวันนัดพร้อมได้ทันตามกำหนดเนื่องจากรถยนต์เสียระหว่างเดินทางมาศาล ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ 2 ครั้ง โดยมี ช. เจ้าพนักงานศาลซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มงานช่วยพิจารณาคดีเบิกความรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยได้ทำรายงานเจ้าหน้าที่เสนอต่อศาล ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาถึงศาลล่าช้ากว่ากำหนดและได้ยื่นคำร้องต่อศาลในวันเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์รถเสียไม่อาจมาศาลได้ทันตามกำหนด แม้การที่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์จะไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยทั้งสองอ้างก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์มิได้จงใจที่จะไม่มาศาล ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีชอบแล้ว
แม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งจำหน่ายคดีโดยเห็นว่าโจทก์ทิ้งฟ้องไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มายื่นคำร้องแสดงเหตุอันสมควร ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะทำการไต่สวนคำร้องของโจทก์เพื่อทราบข้อเท็จจริงและหากเห็นว่ามีการกระทำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลงและเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม ศาลชั้นต้นก็ย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวโดยสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความนั้นเสียได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27
แม้ตามคำร้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวอ้างอย่างตรงไปตรงมาว่า คำสั่งทิ้งฟ้องของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งมิชอบอย่างไร แต่เมื่อพิเคราะห์คำร้องของโจทก์แล้วก็พอแปลได้ว่าเป็นการกล่าวอ้างว่ามีการดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยเข้าใจผิดในข้อเท็จจริงและถึงแม้ความเข้าใจผิดของผู้กระทำไม่ว่าจะเป็นศาลหรือคู่ความหรือเจ้าพนักงานก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คำร้องของโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนโจทก์ได้ความว่า ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์ไม่สามารถมาศาลในวันนัดพร้อมได้ทันตามกำหนดเนื่องจากรถยนต์เสียระหว่างเดินทางมาศาล ได้แจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์ 2 ครั้ง โดยมี ช. เจ้าพนักงานศาลซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มงานช่วยพิจารณาคดีเบิกความรับรองข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยได้ทำรายงานเจ้าหน้าที่เสนอต่อศาล ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์มาถึงศาลล่าช้ากว่ากำหนดและได้ยื่นคำร้องต่อศาลในวันเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า ทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์รถเสียไม่อาจมาศาลได้ทันตามกำหนด แม้การที่ทนายโจทก์ขอเลื่อนคดีโดยแจ้งให้ศาลทราบทางโทรศัพท์จะไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่จำเลยทั้งสองอ้างก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าทนายโจทก์และผู้รับมอบอำนาจโจทก์มิได้จงใจที่จะไม่มาศาล ที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจสั่งให้เพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6086/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลชั้นต้นสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งโดยมิชอบ ก้าวล่วงอำนาจศาลอุทธรณ์ และวินิจฉัยข้ามขั้นตอน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำขอดำเนินคดีชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถาให้โจทก์ แต่จำเลยได้วางค่าธรรมเนียมในการส่งหมายโดยมิได้นำส่งเอง จำเลยจึงมีหน้าที่ติดตามผลการส่งหมายว่าส่งได้หรือไม่อย่างไร เมื่อปรากฏว่าส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งให้แก่โจทก์ไม่ได้ และจำเลยมิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรภายใน 15 วัน ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลอุทธรณ์และไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งไปอย่างไรย่อมทำให้การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสิ้นสุดลงและศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปเนื่องจากในขณะที่จำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเสียในตอนนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการไม่ชอบ การที่ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง กลับวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเป็นการชอบแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่ข้ามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้ว กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับคดีทั้งหมดภายหลังจากนั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งหรือมีคำพิพากษาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทิ้งอุทธรณ์คำสั่ง จึงเป็นคำสั่งที่ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของศาลอุทธรณ์และไม่มีบทกฎหมายใดสนับสนุนให้ศาลชั้นต้นสั่งเช่นนั้นได้ จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งหากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเกี่ยวกับการทิ้งอุทธรณ์คำสั่งไปอย่างไรย่อมทำให้การดำเนินคดีอย่างคนอนาถาสิ้นสุดลงและศาลอุทธรณ์ต้องมีคำสั่งกำหนดระยะเวลาให้จำเลยวางเงินค่าธรรมเนียมศาลเพื่อที่จะมีคำสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาต่อไปเนื่องจากในขณะที่จำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งที่ศาลชั้นต้นยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมศาลมาชำระได้ล่วงพ้นไปแล้ว ศาลชั้นต้นจึงยังไม่ควรก้าวล่วงไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเสียในตอนนี้ การที่ศาลชั้นต้นด่วนไปสั่งไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้องและเป็นการไม่ชอบ การที่ต่อมาจำเลยอุทธรณ์คำสั่งกรณีขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษา แต่ศาลอุทธรณ์มิได้มีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่ถูกต้อง กลับวินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งทิ้งอุทธรณ์คำสั่งและไม่รับอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเป็นการชอบแล้ว จึงเป็นการวินิจฉัยที่ข้ามขั้นตอนของกฎหมายและเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5816/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้บัตรเครดิต เริ่มนับเมื่อใด? ศาลฎีกาชี้ การพักยอดเรียกเก็บเพื่อตรวจสอบเอกสาร ยังไม่ถือเป็นการเริ่มนับอายุความ
จำเลยยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาและคำสั่ง จำเลยมิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์คำพิพากษาให้แก่โจทก์อันถือว่าเป็นการทิ้งอุทธรณ์ แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจจำหน่ายคดีจากสารบบความหรือไม่ก็ได้ เมื่อคำแก้อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์มีเนื้อหาที่เป็นการแก้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นมาด้วย ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะพิจารณาอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งของจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปได้โดยไม่จำต้องมีคำสั่งจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จำเลยนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปซื้อสินค้ารวม 11 รายการจากร้าน จ. แต่ตามใบเรียกเก็บเงินมีการนำเงินค่าสินค้ามาจากร้านดังกล่าวทั้งหมดคืนเข้าบัญชีเป็นเครดิตของจำเลย เนื่องจากจำเลยโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้นำบัตรไปใช้ โจทก์จึงพักการเรียกเก็บเงินเป็นการชั่วคราวเพื่อตรวจสอบก่อน เหตุผลหนึ่งก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ยังไม่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของตนได้อายุความจึงยังไม่เริ่มนับจนกว่าได้ตรวจสอบเอกสารอ้างอิงแล้วเสร็จและมีการเรียกเก็บเงินใหม่ และจำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามกำหนด อายุความจึงจะเริ่มนับตั้งแต่พ้นกำหนดเวลาที่โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นต้นไป
โจทก์มีใบเรียกเก็บเงินจากจำเลยลงวันที่ 2 เมษายน 2540 โดยระบุเลิกการพักยอดเรียกเก็บเงินชั่วคราว และให้จำเลยชำระค่าซื้อสินค้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าจากร้าน จ. 11 รายการ ที่พักยอดเรียกเก็บชั่วคราวภายใน 30 วัน ซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2540 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ย่อมสามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 เมษายน 2542 จึงยังไม่เกิน 2 ปี ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7)
จำเลยนำบัตรเครดิตของโจทก์ไปซื้อสินค้ารวม 11 รายการจากร้าน จ. แต่ตามใบเรียกเก็บเงินมีการนำเงินค่าสินค้ามาจากร้านดังกล่าวทั้งหมดคืนเข้าบัญชีเป็นเครดิตของจำเลย เนื่องจากจำเลยโต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้นำบัตรไปใช้ โจทก์จึงพักการเรียกเก็บเงินเป็นการชั่วคราวเพื่อตรวจสอบก่อน เหตุผลหนึ่งก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ยังไม่อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องของตนได้อายุความจึงยังไม่เริ่มนับจนกว่าได้ตรวจสอบเอกสารอ้างอิงแล้วเสร็จและมีการเรียกเก็บเงินใหม่ และจำเลยไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามกำหนด อายุความจึงจะเริ่มนับตั้งแต่พ้นกำหนดเวลาที่โจทก์กำหนดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นต้นไป
โจทก์มีใบเรียกเก็บเงินจากจำเลยลงวันที่ 2 เมษายน 2540 โดยระบุเลิกการพักยอดเรียกเก็บเงินชั่วคราว และให้จำเลยชำระค่าซื้อสินค้าต่างๆ รวมทั้งสินค้าจากร้าน จ. 11 รายการ ที่พักยอดเรียกเก็บชั่วคราวภายใน 30 วัน ซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ภายในวันที่ 2 พฤษภาคม 2540 แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ย่อมสามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ได้นับแต่วันที่ 3 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 1 เมษายน 2542 จึงยังไม่เกิน 2 ปี ไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4074/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีฟอกเงิน: การดำเนินคดีแพ่ง, หน้าที่นำส่งสำเนาอุทธรณ์, และการสั่งค่าฤชาธรรมเนียม
การดำเนินคดีเกี่ยวกับการร้องขอให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดินซึ่งเป็นคดีแพ่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 59 บังคับให้ยื่นต่อศาลแพ่ง และจะต้องนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับในการดำเนินกระบวนพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านนำส่งสำเนาอุทธรณ์ ผู้คัดค้านจึงมีหน้าที่ดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา 70 วรรคสอง
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 59 วรรคสอง ให้พนักงานอัยการได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการร้องขอให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดิน แต่เมื่อถือว่าเป็นคดีแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงไม่ชอบ เพราะแม้ไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดและแม้จะให้เป็นพับกันไป ก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง
พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 59 วรรคสอง ให้พนักงานอัยการได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการร้องขอให้ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตกเป็นของแผ่นดิน แต่เมื่อถือว่าเป็นคดีแพ่ง การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินโดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมจึงไม่ชอบ เพราะแม้ไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดและแม้จะให้เป็นพับกันไป ก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3926/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์จากความล่าช้าในการส่งสำเนาคำฟ้อง และการใช้ดุลพินิจของศาลในการจำหน่ายคดี
เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2545 จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 มีข้อความประทับด้วยตรายางของศาลชั้นต้นว่า "ข้าพเจ้าจะมาฟังคำสั่งภายใน 7 วันนับแต่วันนี้ หากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว" โดยมีทนายจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อไว้ใต้ข้อความดังกล่าว ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ในวันที่ 17 ธันวาคม 2545 ซึ่งเป็นวันหลังจากที่จำเลยที่ 4 ยื่นอุทธรณ์แล้วก็ตาม แต่การที่ทนายความจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อรับทราบวันนัดให้มาฟังคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการแสดงเจตนายอมรับว่าจะมาฟังคำสั่งภายในวันดังกล่าวถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 4 ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นแล้ว อย่างช้าวันที่ 20 ธันวาคม 2545 เมื่อจำเลยที่ 4 เพิกเฉยไม่จัดการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 แต่อย่างไรก็ตามแม้จำเลยที่ 4 จะทิ้งฟ้องอุทธรณ์แล้ว ศาลก็ยังมีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจว่าจะสั่งจำหน่ายคดีหรือไม่ สำหรับคดีนี้พฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้อุทธรณ์วางเงินค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ล่าช้าจนล่วงเลยเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็ได้ดำเนินการส่งสำเนาคำฟ้องอุทธรณ์ให้โจทก์จนกระทั่งโจทก์ได้รับสำเนาอุทธรณ์และยื่นคำแก้อุทธรณ์แล้ว กรณียังไม่สมควรที่จะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี