พบผลลัพธ์ทั้งหมด 222 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า
จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้าย ช.และจ.พวกของผู้ตายก่อนช. และจ. วิ่งหนีไปโดยจำเลยกับพวกมิได้ติดตามไปทำร้ายซ้ำเติม เมื่อผู้ตายกับ ธ. ขี่รถจักรยานยนต์มาถึง จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้ตายกับ ธ. อีกโดยพวกจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยกับพวกเข้ารุมทำร้ายโดยจำเลยมิได้มีอาวุธ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อน มูลเหตุที่จะทำร้ายผู้ตายก็มีเพียงว่าจำเลยกับพวกไม่ถูกกับคนในหมู่บ้านเดียวกับผู้ตายจึงทำร้ายฝากมา ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะถูกพวกของจำเลยใช้ไม้และท่อนเหล็กตี จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: เจตนาและความรับผิดชอบ
จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้าย ช. และ จ. พวกของผู้ตายก่อน ช. และจ. วิ่งหนีไปโดยจำเลยกับพวกมิได้ติดตามไปทำร้ายซ้ำเติม เมื่อผู้ตายกับ ธ. ขี่รถจักรยานยนต์มาถึง จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายผู้ตายกับ ธ. อีกโดยพวกจำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยกับพวกเข้ารุมทำร้ายโดยจำเลยมิได้มีอาวุธ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยมีสาเหตุกับผู้ตายมาก่อน มูลเหตุที่จะทำร้ายผู้ตายก็มีเพียงว่าจำเลยกับพวกไม่ถูกกับคนในหมู่บ้านเดียวกับผู้ตายจึงทำร้ายฝากมา ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะถูกพวกของจำเลยใช้ไม้และท่อนเหล็กตี จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4707/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายด้วยอาวุธอันตรายจนถึงแก่ความตาย และความรับผิดทางอาญาของผู้ร่วมกระทำ
การที่จำเลยที่ 2 จับเก้าอี้เหล็กกลมไม่มีพนักแล้วกระแทกปลายขาเก้าอี้ซึ่งเป็นเหล็กกลวงไม่มียางหุ้มไปที่ศีรษะอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ตายโดยแรง ทำให้กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลยุบขนาด 3+2.5 ซ.ม. นั้น จำเลยที่ 2 ย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่าจะเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
แม้จำเลยที่ 1 จะมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกรุมทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แต่จำเลยที่ 1 กับพวกตามจำเลยที่ 2ออกไปทำร้ายผู้ตายโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน และไม่มีอาวุธติดตัวแต่อย่างใด และการทำร้ายของจำเลยที่ 1 ก็เพียงชกต่อยผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีสาเหตุกับผู้ตายด้วย จำเลยที่1 คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นฆ่าผู้ตาย.
แม้จำเลยที่ 1 จะมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกรุมทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แต่จำเลยที่ 1 กับพวกตามจำเลยที่ 2ออกไปทำร้ายผู้ตายโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน และไม่มีอาวุธติดตัวแต่อย่างใด และการทำร้ายของจำเลยที่ 1 ก็เพียงชกต่อยผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีสาเหตุกับผู้ตายด้วย จำเลยที่1 คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นฆ่าผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4707/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยเก้าอี้ และความรับผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
การที่จำเลยที่ 2 จับเก้าอี้เหล็กกลมไม่มีพนักแล้วกระแทกปลายขาเก้าอี้ซึ่งเป็นเหล็กกลวงไม่มียางหุ้มไปที่ศีรษะอันเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของผู้ตายโดยแรง ทำให้กะโหลกศีรษะใต้บาดแผลยุบขนาด 3 + 2.5 ซ.ม. นั้น จำเลยที่ 2 ย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่าจะเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา
แม้จำเลยที่ 1 จะมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกรุมทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แต่จำเลยที่ 1 กับพวกตามจำเลยที่ 2 ออกไปทำร้ายผู้ตายโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน และไม่มีอาวุธติดตัวแต่อย่างใด และการทำร้ายของจำเลยที่ 1 ก็เพียงชกต่อยผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีสาเหตุกับผู้ตายด้วย จำเลยที่1 คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นฆ่าผู้ตาย
แม้จำเลยที่ 1 จะมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 2 และพวกรุมทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แต่จำเลยที่ 1 กับพวกตามจำเลยที่ 2 ออกไปทำร้ายผู้ตายโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน และไม่มีอาวุธติดตัวแต่อย่างใด และการทำร้ายของจำเลยที่ 1 ก็เพียงชกต่อยผู้ตายโดยจำเลยที่ 1 ไม่เคยมีสาเหตุกับผู้ตายด้วย จำเลยที่1 คงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายเท่านั้น ยังไม่ถึงกับเป็นความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย เจตนาของผู้ร่วมกระทำผิดและการลงโทษตามบทหนัก
จำเลยทั้งสี่กับนายแม้วร่วมกับพวกพากันไปทำร้ายผู้อื่นเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีการต่อสู้ชกต่อยกันแต่ฝ่ายจำเลยสู้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายจำเลยกำลังหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงอีกฝ่ายซึ่งไล่ตามมา กระสุนปืนถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสและถูก ส.ถึงแก่ความตายดังนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่รู้ว่านายแม้วมีอาวุธปืนไปด้วย ขณะวิวาทชกต่อยกันก็ไม่มีการใช้อาวุธใด ๆ จึงฟังไม่ได้ว่าการที่นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงนั้นจำเลยทั้งสี่มีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีความผิดตามมาตรา 290,295 และ 297 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นบทหนัก และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามมาตรา 290 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4140/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา แม้ไม่มีเจตนาตั้งแต่ต้น ศาลลงโทษตามบทหนัก
จำเลยทั้งสี่กับนายแม้วร่วมกับพวกพากันไปทำร้ายผู้อื่น เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีการต่อสู้ชกต่อยกันแต่ฝ่ายจำเลยสู้ไม่ได้ ขณะที่ฝ่ายจำเลยกำลังหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงอีกฝ่ายซึ่งไล่ตามมา กระสุนปืนถูกผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บสาหัสและถูก ส. ถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่รู้ว่านายแม้วมีอาวุธปืนไปด้วย ขณะวิวาทชกต่อยกันก็ไม่มีการใช้อาวุธใด ๆ จึงฟังไม่ได้ว่าการที่นายแม้วใช้อาวุธปืนยิงนั้นจำเลยทั้งสี่มีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วย จำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ตามที่โจทก์ฟ้อง แต่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 และ 297 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 290 ซึ่งเป็นบทหนัก และศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามมาตรา 290 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตน/บันดาลโทสะ: การทำร้ายเกิดขึ้นต่อเนื่อง-สิทธิป้องกันตนขาดตอน-เจตนาไม่ถึงฆ่า
ผู้ตายถือขวดแตกจะแทงจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 วิ่งหนีผู้ตายไล่ตาม จำเลยที่ 1 คว้าไม้ท่อนจะตีผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีไป จึงถือได้ว่าสิทธิในการป้องกันตนของจำเลยที่ 1 ขาดตอนไปแล้วการที่จำเลยที่ 1 โมโหวิ่งไล่ตามอีก และผู้ตายว่าแน่จริงก็เข้ามาเลย พร้อมทั้งกระโดดเข้าแทงถูกข้อมือซ้ายจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 หันหลังกลับ พฤติการณ์ของผู้ตายเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และการที่จำเลยที่ 1 ตีผู้ตายหลายครั้งก็เพราะที่เกิดเหตุเป็นที่มืดและเปลี่ยว ประกอบกับผู้ตายมีรูปร่างใหญ่กว่า ทั้งปรากฏจากรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งที่ศีรษะมือซ้าย และข้อศอกซ้าย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ตีในระยะเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสเลือกที่ตี และไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกตรงที่ใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายโดยมิได้เจตนาฆ่า แต่ทำรุนแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทที่หนักกว่า ศาลก็ย่อมลงโทษตามมาตรา 290 อันเป็นบทที่เบากว่าได้
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3655/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเกินกว่าเหตุ & บันดาลโทสะ: ศาลลดโทษจำเลยที่ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย
ผู้ตายถือขวดแตกจะแทงจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 วิ่งหนีผู้ตายไล่ตาม จำเลยที่ 1 คว้าไม้ท่อนจะตีผู้ตาย ผู้ตายวิ่งหนีไป จึงถือได้ว่าสิทธิในการป้องกันตนของจำเลยที่ 1 ขาดตอนไปแล้ว การที่จำเลยที่ 1 โมโหวิ่งไล่ตามอีก และผู้ตายว่าแน่จริงก็เข้ามาเลย พร้อมทั้งกระโดดเข้าแทงถูกข้อมือซ้ายจำเลยที่ 1 ขณะที่จำเลยที่ 1 หันหลังกลับ พฤติการณ์ของผู้ตายเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ท่อนตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 และการที่จำเลยที่ 1 ตีผู้ตายหลายครั้งก็เพราะที่เกิดเหตุเป็นที่มืดและเปลี่ยว ประกอบกับผู้ตายมีรูปร่างใหญ่กว่า ทั้งปรากฏจากรายงานการตรวจศพท้ายฟ้องว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่งทั้งที่ศีรษะมือซ้าย และข้อศอกซ้าย แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ตีในระยะเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสเลือกที่ตี และไม่อาจทราบได้ว่าจะถูกตรงที่ใด ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายโดยมิได้เจตนาฆ่า แต่ทำรุนแรงเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 อันเป็นบทที่หนักกว่า ศาลก็ย่อมลงโทษตามมาตรา 290 อันเป็นบทที่เบากว่าได้
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
เหตุที่เกิดขึ้นเนื่องจากผู้ตายเข้าไปหาเรื่องและทำร้ายฝ่ายจำเลยก่อน ทั้งผู้ตายมีรูปร่างล่ำสันใหญ่กว่าจำเลยที่ 1ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 กำลังศึกษาเล่าเรียน เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทใช้ปืนทำร้ายผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาความผิดฐานประมาทและมีอาวุธปืน
จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว. แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด. ตายและ ส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว.กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ ด. และ ส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตามเมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด. ตายและ ส. ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291, 390 และถึงแม้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเช่นนี้ศาลก็ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทใช้ปืนทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตและบาดเจ็บ คดีอาญาเกี่ยวกับอาวุธปืน
จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว. แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด.ตายและส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว.กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำเกิดแก่ ด.และส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290,295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตามเมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด.ตายและส. ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291,390 และถึงแม้ว่าโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำโดยเจตนา แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเช่นนี้ศาลก็ลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม.