พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินกระทบภารจำยอมสาธารณูปโภค โจทก์มีสิทธิฟ้องเพิกถอน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดสรรที่ดินโดยมีเจตนาจะจัดให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เป็นถนนอันเป็นสาธารณูปโภคจึงเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286มาแต่ต้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ก่อนมีการรังวัดเพื่อรวมและแบ่งแยกโฉนดจึงเป็นถนนที่เป็นทางภารจำยอมตามประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ข้อ 30 เมื่อการรวมกรรมสิทธิ์ และการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวมีผลทำให้ เนื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ส่วนที่เป็นถนนอยู่เดิมขาดหายไป เป็นการทำให้ภารจำยอมเปลี่ยนแปลงไปและเป็นการ กระทบถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เข้ากับที่ดินแปลงอื่น และขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เฉพาะส่วนที่นำมารวมกับที่ดินแปลงย่อย 7 แปลง และกลายเป็นที่ดินแปลงใหม่โฉนดเลขที่ 106708 ได้ ในคดีส่วนอาญา โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนจำเลยอื่นในคดีนั้นอีก 6 คน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประเด็นที่จะต้อง วินิจฉัยในคดีนั้นจึงมีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนให้จำเลยอื่นกระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ข้อเท็จจริง ที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ที่เป็นถนน เป็นทางภารจำยอมหรือไม่นั้นจึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรง ในคดีดังกล่าว การพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งไม่จำต้อง ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีดังกล่าว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7833/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนหุ้นโดยการปลอมลายมือชื่อเป็นโมฆะ แม้คดีอาญายกฟ้อง ศาลแพ่งยังสามารถพิจารณาจากหลักฐานอื่นได้
คดีอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมการโอนหุ้นของบริษัทย.โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนเป็นโมฆะ เพราะจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ผู้โอนหุ้นในหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัด โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้ยินยอม สิทธิฟ้องคดีในคดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด ทั้งคู่ความในคดีส่วนอาญากับคู่ความในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งมิได้เป็นคู่ความรายเดียวกัน เพราะจำเลยที่ 2 ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีส่วนอาญา และประเด็นแห่งคดีในคดีส่วนอาญามีประเด็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครหรือไม่ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่าจำเลยร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัดโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ อันเป็นคนละประเด็นกัน กรณีจึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาการพิพากษาคดีนี้จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46ที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7833/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งโอนหุ้นเป็นโมฆะ ไม่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาแจ้งความเท็จ ศาลพิจารณาตามข้อเท็จจริงเฉพาะคดีแพ่ง
คดีอาญาที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่านิติกรรมการโอนหุ้นของบริษัท ย.โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับโอนเป็นโมฆะ เพราะจำเลยทั้งสองร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ผู้โอนหุ้นในหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัด โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยโจทก์มิได้ยินยอม สิทธิฟ้องคดีในคดีนี้จึงไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด ทั้งคู่ความในคดีส่วนอาญากับคู่ความในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งมิได้เป็นคู่ความรายเดียวกัน เพราะ จำเลยที่ 2ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความในคดีส่วนอาญา และประเด็นแห่งคดีในคดีส่วนอาญามีประเด็นว่า จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครหรือไม่ ส่วนคดีนี้มีประเด็นว่าจำเลยร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาโอนหุ้นในบริษัทจำกัดโดยปลอมลายมือชื่อโจทก์โอนหุ้นของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 หรือไม่ อันเป็นคนละประเด็นกัน กรณีจึงมิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีนี้จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของ ป.วิ.อ.มาตรา 46 ที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง: ศาลแรงงานถือผลคำพิพากษาคดีอาญา
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะ โดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 138 วรรคหนึ่งประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ.อาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิดดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิดดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้ผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง ศาลต้องถือตามข้อตกลงหากคำพิพากษาคดีอาญาตรงกับข้อตกลง
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7339/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงให้ผลคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีแพ่ง: ศาลต้องถือตามข้อตกลง ไม่ใช่แค่ข้อเท็จจริงในคำพิพากษา
คดีนี้คู่ความตกลงท้ากันให้ถือเอาผลของคำพิพากษาคดีอาญาเป็นข้อแพ้ชนะโดยตกลงกันว่า หากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 คดีนี้ไม่มีความผิดและยกฟ้อง ให้ถือว่าจำเลยทั้งสองในคดีนี้พ้นจากความรับผิด แต่หากศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ในคดีนี้มีความผิดตามข้อกล่าวหา จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินเต็มตามฟ้องแก่โจทก์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในประเด็นแห่งคดีมาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 หาใช่เป็นกรณีที่การวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คดีอาญาที่คู่ความท้ากัน ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยได้แสดงว่าตามคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว ศาลได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลยไม่มีความผิด ดังนี้ การที่ศาลแรงงานวินิจฉัยว่าคดีนี้ต้องถือเอาคำพิพากษาคดีอาญาของศาลในคดีดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะ และฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดในเงินที่สูญหายไปตามฟ้องตามคำท้านั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยนั่งโดยสารในรถที่คนขับหลบหนีและชนรถเจ้าหน้าที่ ไม่ถือเป็นผู้ร่วมทำละเมิดหากไม่มีส่วนรู้เห็นหรือช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถขนสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร ด. ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรโดยมีจำเลยนั่งมาในรถด้วยความเร็วและไม่ยอมหยุดให้ตรวจเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้สัญญาณหยุด เฉี่ยวชนรถยนต์ ของโจทก์เสียหาย จำเลยเพียงนั่งมาในรถไม่มีส่วนทำความผิดด้วยทั้งจำเลยไม่ได้รู้เห็นในการทำละเมิดของด. หรือยุยงช่วยเหลือด. กระทำละเมิด ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยถูกฟ้องว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์ที่ถูกจำเลยขับรถยนต์ชนอันเป็นคดีแพ่ง ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมทำละเมิด จำเลยนั่งโดยสารในรถที่ชนเสียหาย ไม่พอรับผิด
ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับ ด. ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์ คงได้ความแต่เพียงว่า ด. เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายโดยจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่ ด.เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วย ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของ ด.หรือยุยงช่วยเหลือด.กระทำละเมิดโจทก์ แม้ ด. จะมีส่วนทำละเมิดขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ปรากฏเพียงคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับ ด. ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138,391,83 เท่านั้น ไม่มีมีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7223/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดในทางละเมิด จำเลยต้องมีส่วนร่วมในการกระทำละเมิด หรือรู้เห็นการกระทำละเมิดของผู้อื่น
ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย แต่โจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่าจำเลยร่วมกับ ด.ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์ คงได้ความแต่เพียงว่า ด.เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายโดยจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่ ด.เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วย ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของ ด.หรือยุยงช่วยเหลือ ด.กระทำละเมิดโจทก์ แม้ ด.จะมีส่วนทำละเมิดขับรถชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ปรากฏเพียงว่าคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 138,391, 83 เท่านั้น ไม่ได้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ปรากฏเพียงว่าคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นตาม ป.อ.มาตรา 138,391, 83 เท่านั้น ไม่ได้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายรถยนต์ของโจทก์ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ ดังนี้ คดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6367/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำนวนทรัพย์ในคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง: ศาลแพ่งต้องใช้ข้อเท็จจริงที่ศาลอาญาได้วินิจฉัยไว้แล้ว
ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบในคดีดังกล่าวเกี่ยวกับจำนวนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 รับซื้อไว้ว่าจำเลยที่ 1ซื้อจักรเย็บผ้ายี่ห้อจุกิจำนวน8หลังและจักรโพ้งยี่ห้อซีรูบ้า จำนวน 4 หลัง รวมเป็นจักร 12 หลัง แล้วจึงวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาในการกระทำความผิดทางอาญาคดีถึงที่สุด ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1รับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวน 12 หลัง จริงหรือไม่เป็นประเด็นโดยตรงในคดีอาญา เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในคดีอาญาดังกล่าวฟ้องจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งว่า ร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าในจำนวนเดียวกับที่เคยฟ้องจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันในคดีอาญาเป็นคดีนี้อีกและมีประเด็นโต้เถียงอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 กับพวกร่วมกันรับซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ไว้จำนวนกี่หลัง ศาลจึงถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วในคดีอาญาดังกล่าว