พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3418/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการใช้ดุลพินิจตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าพยานจำเลยเบิกความเจือสมพยานโจทก์ก็เพราะพยานจำเลยได้เบิกความต่อศาลในคดีนี้ว่า พยานจำเลยไม่ต้องเช่าทางเดินจากจำเลย อันเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้ แม้ไม่ได้กล่าวถึงคำรับสารภาพของพยานจำเลยที่ให้การรับสารภาพต่อศาลอาญาธนบุรีว่าได้เบิกความในคดีนี้เป็นความเท็จ และยอมรับว่าได้เช่าทางพิพาทของจำเลยเดินเข้าออกสู่ถนนสาธารณะ ก็เป็นเพราะศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยในส่วนนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยจากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.พ.มาตรา 104 ที่ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคลาดเคลื่อนไปจากที่ปรากฎในสำนวนคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3180/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนี้แพ่งสะดุดหยุดลงจากการยอมรับหนี้โดยการสั่งจ่ายเช็คใหม่ และการร่วมรับผิดของหุ้นส่วนผู้จัดการ
จำเลยที่ 1 สั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายคราวแล้วสั่งจ่ายเช็คจำนวน 25 ฉบับ ลงวันที่สั่งจ่ายระหว่างเดือนมิถุนายน 2528 ถึงเดือนสิงหาคม 2529 ให้โจทก์เพื่อชำระค่าสินค้า เมื่อโจทก์เรียกเก็บเงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 ก็ได้สั่งจ่ายเช็คฉบับใหม่แทนฉบับเดิมพร้อมดอกเบี้ยตลอดมาและเมื่อเช็คที่เปลี่ยนถึงกำหนด โจทก์เรียกเก็บธนาคารตามเช็คก็ปฏิเสธการจ่ายเงินอีก การกระทำดังกล่าวเป็นกรณีจำเลยที่ 1 กระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพสิทธิเรียกร้องของโจทก์แล้วอายุความในการเรียกร้องค่าสินค้าของจำเลยที่ 1 ย่อมสะดุดหยุดลงและอายุความจะเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ลงในเช็คแต่ละฉบับอันเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องตามเช็คเป็นต้นไป เมื่อเช็คฉบับหลังสุดที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินจำนวน 531,134 บาท ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2529 โจทก์นำหนี้จำนวนดังกล่าวมาฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2530 จึงยังไม่เกิน 2 ปี หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ การที่โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าเป็นเช็คประกันหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อนั้น เป็นเรื่องวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าไม่มีหนี้สินต่อกันประกอบกับการฟ้องคดีเช็คทางอาญานั้น ไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ดังนั้นในการพิจารณาคดีแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3146/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาตัดสินว่าไม่ประมาท คดีแพ่งก็ต้องฟังตาม
คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการกองคดีแขวงพระนครใต้เป็นโจทก์ฟ้อง ซึ่งมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทหรือไม่ การฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าว ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คดีอาญาดังกล่าวฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ได้ ดังนี้ศาลจะต้องฟังในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1มิได้ขับรถยนต์โดยสารชน ช. โดยประมาทการกระทำของจำเลยที่ 1ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2230/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และขอบเขตความรับผิดของตัวการ-ผู้กระทำละเมิดต่อผู้เสียหายแต่ละราย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับโจทก์ที่ 1แล้ว โจทก์ที่ 7 และที่ 8 มิได้อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงยุติสำหรับโจทก์ที่ 7 และที่ 8 การที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 2 วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ประมาทตามฟ้องโจทก์นั้นเป็นการวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาทแล้วย่อมผูกพันโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 9 ซึ่งเป็นผู้เสียหายในคดีที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ดังกล่าว แม้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 9 จะมิได้เข้าเป็นคู่ความก็ต้องถือว่าอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 2 ฟ้องแทนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 9 จำเลยที่ 1 จึงมิได้กระทำละเมิดและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 9 จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการจึงไม่ต้องรับผิดด้วย แต่โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุจึงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีดังกล่าว ผลของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ผูกพันโจทก์ที่ 1 ต้องฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในคดีใหม่ซึ่งเมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท จำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสโมฆะ: ศาลฟังข้อเท็จจริงใหม่ได้ แม้มีคดีอาญาเกี่ยวเนื่อง
เมื่อคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาและมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่ปรากฏในสำนวนคดีแพ่งได้
เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าช่วงเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากับนาย บ. ส่วนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของบุคคลทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันไปขอจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกันและต่างไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อนจึงผิดไปจากเจตนาที่แท้จริง และไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองยินยอมเป็นสามีภริยากันอันเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะได้
เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าช่วงเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากับนาย บ. ส่วนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของบุคคลทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันไปขอจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกันและต่างไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อนจึงผิดไปจากเจตนาที่แท้จริง และไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองยินยอมเป็นสามีภริยากันอันเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1127/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสโมฆะจากเจตนาไม่ตรงกันและมีคู่สมรสแล้ว แม้ไม่มีคดีอาญาเกี่ยวเนื่อง
เมื่อคดีอาญาที่จำเลยทั้งสองถูกฟ้องเป็นเรื่องแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ส่วนคดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาว่าการสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาฐานแจ้งความเท็จแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาและมีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่ปรากฏในสำนวนคดีแพ่งได้ เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าช่วงเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากับนายบ.ส่วนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของบุคคลทั้งสอง การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันไปขอจดทะเบียนสมรสโดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานว่ามีเจตนาจะสมรสกันและต่างไม่เคยมีคู่สมรสมาก่อนจึงผิดไปจากเจตนาที่แท้จริง และไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสองยินยอมเป็นสามีภริยากันอันเป็นเงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1458 โจทก์จึงมีสิทธิร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งงดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลต้องพิจารณาประเด็นที่ยังไม่ได้ความชัดเจน
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล. ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา แต่ยังต้องสืบพยานประเด็นอื่นเพิ่มเติม
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา และพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่ถือเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ ตามมาตรา 226 คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ในคดีส่วนอาญาศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยรับเงินจากล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ดังนั้น จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้ แต่ฟ้องของโจทก์ยังระบุด้วยว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินของโจทก์และ ล. ได้มาโดยการหลอกลวงโจทก์และได้มาโดยไม่สุจริต แต่จำเลยกลับยึดเงินดังกล่าวไว้ จึงเป็นการฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวอยู่ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ศาลฎีกาย่อมย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 782/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
งดสืบพยานในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาชี้ว่าต้องสืบพยานประเด็นเพิ่มเติม หากมีข้อพิพาทนอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ยุติในคดีอาญา
การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานแล้วฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาและพิพากษายกฟ้องนั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามป.วิ.พ. มาตรา 227 โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโดยไม่ต้องโต้แย้งไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล.ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ
คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาที่โจทก์เคยเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องจำเลยว่าจำเลยร่วมกับ ล.ฉ้อโกงโจทก์ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ซึ่งในคดีส่วนอาญานั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วโดยฟังข้อเท็จจริงว่า ที่จำเลยรับเงินจาก ล. เป็นการรับชำระหนี้ค่าซื้อเชื่อทอง ฉะนั้น จากข้อเท็จจริงที่ฟังยุติดังกล่าว จำเลยจึงรับเงินไว้โดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่รับไว้ในฐานลาภมิควรได้อย่างไรก็ตาม นอกจากโจทก์จะฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยในฐานลาภมิควรได้แล้ว ยังฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยโดยอ้างเหตุตาม ป.พ.พ. มาตรา 1331 ด้วย คดียังมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวอยู่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้สืบพยานฟังข้อเท็จจริงให้ยุติ ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย และผลกระทบต่อการดำเนินคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่อง
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาและคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อจำเลยที่ 4ถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปเมื่อศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยที่ 4 จากสารบบความแล้วศาลจะพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 ไม่ได้ การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4เฉพาะคดีส่วนแพ่งก็ไม่อาจฟังข้อเท็จจริงในคำพิพากษาส่วนอาญาเกี่ยวกับจำเลยอื่นมาฟังในคดีส่วนแพ่งของจำเลยที่ 4 ได้การเรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4 จึงไม่เป็นการสะดวกแก่การพิจารณา ศาลย่อม ไม่อนุญาตให้เรียกผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 4 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 4