พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 217/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงานในการพิจารณาเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และอายุความฟ้องร้อง
ศาลแรงงานมีอำนาจที่จะมีคำสั่งดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการที่จำเลยมีคำสั่งปลดโจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง แม้ว่าจะได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นการสอบสวนก่อนตามข้อบังคับแล้วก็ตาม มาตรา 49 มุ่งหมายที่จะให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างนอกเหนือจากที่มีอยู่แล้วตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อกฎหมายมีวัตถุที่ประสงค์ในการให้ความคุ้มครอง ก็ย่อมให้สิทธิที่จะฟ้องขอรับความคุ้มครองอยู่ในตัว
การที่โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์เห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ก็ย่อมถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
ฟ้องโจทก์แปลได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามมาตรา 49 ขณะนี้ ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าอายุคามในกรณีเช่นนี้มีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
เมื่อจำเลยดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ในข้อหาว่าโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างลักทรัพย์ของจำเลยผู้เป็นนายจ้างนั้น หากจะฟ้องขอให้บังคับในทางแพ่งด้วย ก็ได้แต่ขอให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์ในฐานที่จำเลยถูกโจทก์กระทำละเมิดเท่านั้น ใช่ว่าจะขอให้ศาลบังคับให้โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ไม่ การที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ต้องหาว่าลักทรัพย์ของจำเลยได้หรือไม่นั้น จึงมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
การที่โจทก์ถูกจำเลยเลิกจ้างโดยโจทก์เห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ก็ย่อมถือได้ว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย
ฟ้องโจทก์แปลได้ว่า โจทก์กล่าวหาว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งตามมาตรา 49 ขณะนี้ ยังไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องถือว่าอายุคามในกรณีเช่นนี้มีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
เมื่อจำเลยดำเนินคดีอาญาต่อโจทก์ในข้อหาว่าโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างลักทรัพย์ของจำเลยผู้เป็นนายจ้างนั้น หากจะฟ้องขอให้บังคับในทางแพ่งด้วย ก็ได้แต่ขอให้คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาทรัพย์ในฐานที่จำเลยถูกโจทก์กระทำละเมิดเท่านั้น ใช่ว่าจะขอให้ศาลบังคับให้โจทก์พ้นจากการเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ไม่ การที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ต้องหาว่าลักทรัพย์ของจำเลยได้หรือไม่นั้น จึงมิใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลแรงงานไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3068/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ครอบครองมีสิทธิดีกว่า แม้มีโฉนด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่
ในคดีอาญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาบุกรุกที่พิพาทในคดีนี้ โจทก์เป็นผู้เสียหายและพยาน ถือได้ว่าคดีนี้เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว ในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ศาลซึ่งพิพากษาคดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อน เมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จำเลยหรือผู้ใดย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง แต่ผู้ใดครอบครองอยู่ผู้นั้นย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่นเมื่อจำเลยครอบครองอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่ก่อน เมื่อที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์จำเลยหรือผู้ใดย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง แต่ผู้ใดครอบครองอยู่ผู้นั้นย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้อื่นเมื่อจำเลยครอบครองอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อน: ห้ามจำเลยโต้แย้งสิทธิในที่ดินหลังศาลตัดสินแล้ว
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่ดินพิพาทคดีนี้เป็นของจำเลย ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสอง ให้ยกฟ้องโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ดังนี้ จำเลยจะต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยอีกไม่ได้เพราะผลแห่งคำพิพากษาคดีก่อนผูกพันจำเลยมิให้โต้แย้งเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา145
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2769-2770/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของบุคคลภายนอกในคดีอาญา และการสืบพยานเรื่องประมาทในคดีค่าเสียหาย
จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับไปชนกับรถยนต์ของโจทก์ และไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญาที่พนักงานอัยการ ฟ้องขอให้ลงโทษโจทก์ จำเลยที่ 3 จึงเป็นบุคคลภายนอกไม่ถูกผูกพันโดยคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2766/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดในการพิจารณาคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารของโจทก์ไป และขอให้ชดใช้เงินค่าข้าวสาร ซึ่งเป็นมูลคดีเดียวกับคดีอาญาซึ่งกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทุจริตเบียดบังข้าวสารของโจทก์ไป ขอให้ลงโทษและขอให้คืนหรือใช้ราคาข้าวสารเช่นเดียวกัน จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อศาลได้พิพากษายกฟ้องคดีอาญาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ได้ร่วมกันเบียดบังยักยอกข้าวสารของโจทก์ไปคดีถึงที่สุดแล้ว ในการพิพากษาคดีแพ่งนี้ ศาลจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงตกไปรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: อายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และการถือตามข้อเท็จจริงที่พิพากษาในคดีอาญา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ เบิกความเท็จ นำสืบและแสดงหลักฐานเท็จในคดีแพ่งซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามฟ้องแล้วโจทก์ได้อาศัยมูลคดีอาญาดังกล่าวฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันรับผิดฐานละเมิดฟ้องโจทก์คดีหลังนี้จึงเป็นฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาข้อเท็จจริงในคดีแพ่งที่ว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่จำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่พิพากษาไว้ในคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 และอายุความฟ้องร้องต้องถือตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ซึ่งให้ถือตามอายุความ 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2594/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดในคดีแพ่งและอาญา: ศาลวินิจฉัยความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยโดยไม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาอาญา
การที่ศาลวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยในคดีส่วนแพ่งว่าการที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของฝ่ายโจทก์ร่วมด้วยหาใช่เป็นการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งขัดหรือกลับข้อเท็จจริงที่จำต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาที่ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ไม่ที่ศาลล่างวินิจฉัยว่าการที่รถโจทก์จำเลยชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ร่วมด้วย จึงเป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา หากจำเลยชดใช้แล้ว ไม่ต้องรับผิดใช้เงินอีก
ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไป แต่ได้ใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2396/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งตามหลังคดีอาญา: ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาอาญา หากจำเลยชดใช้เงินแล้ว ไม่ต้องรับผิดอีก
ในคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อศาลต้องฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเอาเงินของโจทก์ร่วมไป แต่ได้ใช้ให้โจทก์ร่วมครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ร่วมอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2320/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลไม่ผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญาอื่น แม้มีมูลเหตุเกี่ยวข้องกัน ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนตัวเอง
คดีอาญามิได้มีบทกฎหมายใดบัญญัติบังคับให้ศาลที่พิพากษาคดีต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลในคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งได้ชี้ขาดไว้มาเป็นหลักในการวินิจฉัย แม้คดีทั้งสองนั้นจะมีมูลกรณีเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน