คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 46

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1468/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกันภัย: การที่ผู้เอาประกันมีส่วนรู้เห็นในการก่อให้เกิดความเสียหาย ทำให้หมดสิทธิเรียกร้องค่าสินไหม
แม้ในคดีอาญา ว. ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของโจทก์ถูกฟ้อง ศาลฟังว่า ว.ไม่ใช่คนร้ายวางเพลิงทรัพย์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย แต่เมื่อมูลคดีเป็นคนละอย่างไม่เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง (คดีนี้) ที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาประกันภัย ทั้งคู่ความในคดีแพ่งมิใช่คู่ความในคดีอาญา จึงถือข้อเท็จจริงในคดีอาญามาพิพากษาคดีแพ่งไม่ได้
บริษัทโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้มีการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเพื่อหวังเงินประกัน จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด เพราะวินาศภัยเกิดขึ้นเพราะความทุจริตของบริษัทโจทก์ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1468/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประกันภัย: การมีส่วนรู้เห็นในการวางเพลิงทรัพย์สินของผู้เอาประกันภัย ทำให้หมดสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน
แม้ในคดีอาญา ว.ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งของโจทก์ถูกฟ้องศาลฟังว่าว. ไม่ใช่คนร้ายวางเพลิงทรัพย์ของโจทก์ที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย แต่เมื่อมูลคดีเป็นคนละอย่างไม่เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง (คดีนี้) ที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาประกันภัย ทั้งคู่ความในคดีแพ่งมิใช่คู่ความในคดีอาญา จึงถือข้อเท็จจริงในคดีอาญามาพิพากษาคดีแพ่งไม่ได้
บริษัทโจทก์มีส่วนรู้เห็นให้มีการวางเพลิงเผาทรัพย์ของตนเพื่อหวังเงินประกัน จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดเพราะวินาศภัยเกิดขึ้นเพราะความทุจริตของบริษัทโจทก์ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันคำพิพากษาคดีอาญากับคดีแพ่ง และความรับผิดของนายจ้างต่อการกระทำของลูกจ้าง
คดีอาญาศาลพิพากษาว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 ขับรถคันที่ชนโจทก์ในคดีแพ่ง ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีแพ่งตามคดีอาญาแต่จำเลยที่ 5 นายจ้างของจำเลยที่ 4 มิได้ถูกฟ้องในคดีอาญาด้วย ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงในคดีแพ่ง ซึ่งศาลฟังว่าจำเลยที่ 4 มิได้ขับรถที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การพิพากษาคดีอาญาเป็นผลผูกพันคดีแพ่ง และการแก้ไขคำพิพากษา
ในคดีส่วนอาญาศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวเป็นผู้ประมาท ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จะนำข้อเท็จจริงดังว่านี้มาใช้ยันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญานั้นด้วย
การกำหนดให้คู่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เป็นดุลพินิจของศาลจำคำนวณจากทุนทรัพย์ตามฟ้อง หรือตามที่โจทก์ชนะคดีก็ได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อสู้คดีในลักษณะประวิงคดีและไม่สุจริต ศาลจะไม่ให้จำเลยรับผิดในค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉฑาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีแต่ให้รับผิดตามทุนทรัยพ์ที่ฟ้องก็ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือ ค่าปลงศพ 65,000 บาท ค่าโจทก์ขาดไร้อุปการะ 161,500 บาท ค่าซ่อมรถ 3,000 บาท แล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 164,500 บาท แก่โจทก์ เป็นการผิดพลาดไปโดยมิได้เอายอดเงินปลงศพ 25,000 บาท มารวมคำนวณด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และจำเลยฎีกาฝ่ายเดียวต่อมาดังนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 พิพากษาแก้ให้จำเลยชดใช้เงิน 189,000 บาทแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์, การร่วมรับผิดของนายจ้าง, และการแก้ไขคำพิพากษาที่ผิดพลาด
ในคดีส่วนอาญาศาลได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วว่า จำเลยที่ 1 ฝ่ายเดียวเป็นผู้ประมาท ดังนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญาว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่จะนำข้อเท็จจริงดังว่านี้มาใช้ยันจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 หาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 2 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญานั้นด้วย
การกำหนดให้คู่ความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เป็นดุลพินิจของศาลจะคำนวณจากทุนทรัพย์ตามฟ้อง หรือตามที่โจทก์ชนะคดีก็ได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อสู้คดีในลักษณะประวิงคดีและไม่สุจริต ศาลจะไม่ให้จำเลยรับผิดในค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีแต่ให้รับผิดตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องก็ได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์คือค่าปลงศพ 25,000 บาท ค่าโจทก์ขาดไร้อุปการะ 161,500 บาท ค่าซ่อมรถ 3,000 บาท แล้วพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 164,500 บาท แก่โจทก์เป็นการผิดพลาดไปโดยมิได้เอายอดเงินค่าปลงศพ 25,000 บาท มารวมคำนวณด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน และจำเลยคงฎีกาฝ่ายเดียวต่อมาดังนี้ ศาลฎีกาชอบที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดนี้เสียให้ถูกต้องได้โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 พิพากษาแก้ให้จำเลยชดใช้เงิน 189,000 บาท แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นผู้ทรงเช็ค: ข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่ผูกพันคดีแพ่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงิน ตามเช็คแก่โจทก์โดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาทว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาวินิจฉัยใน คดีอาญาเพียงว่า จำเลยออกเช็คให้ อ. โดย อ. ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในขณะออกเช็ค แม้เช็คดังกล่าวมาตกอยู่แก่โจทก์จำเลยก็ไม่มี ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คศาลฎีกามิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นผู้ทรงเช็ค: ศาลไม่ต้องยึดตามคำพิพากษาคดีอาญา หากไม่ได้วินิจฉัยถึงความเป็นผู้ทรง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้เงินตามเช็คให้แก่โจทก์ โดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลฎีกาพิพากษาคดีส่วนอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาทว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลฎีกาวินิจฉัยในคดีอาญาเพียงว่า จำเลยออกเช็คให้ อ. โดย อ.ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีเงินในขณะออกเช็ค แม้เช็คดังกล่าวมาตกอยู่แก่โจทก์จำเลยก็ไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ศาลฎีกามิได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จะต้องฟ้องข้อเท็จจริงตามคดีส่วนอาญาว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คหรือไม่ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักเช็คและการพิพากษาคดีอาญาที่ผูกพันคดีแพ่ง การชำระหนี้ที่ไม่มีมูลความผูกพัน
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองออกเช็ค 5 ฉบับชำระหนี้ค่าบ้านที่ดินกับค่าหุ้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ ตามสัญญาซื้อขาย (เอกสารหมาย จ.3) โจทก์ได้รับเงินตามเช็คเพียง 1 ฉบับ ส่วนอีก 4 ฉบับ ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค 4 ฉบับ พร้อมทั้งดอกเบี้ยจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์บังอาจเอาเช็คของจำเลยไปและได้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้ว 1 ฉบับ จึงขอให้โจทก์คืนเงินและเช็คดังกล่าวให้จำเลย ปรากฏว่าโจทก์ได้ถูกอัยการศาลทหารฟ้องเป็นจำเลยและศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ลักเช็คทั้ง 5 ฉบับนั้นจากจำเลยที่ 2 ไปลงวันที่สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคาร 1 ฉบับ นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก 4 ฉบับ ทั้งที่โจทก์จำเลยมิได้มีมูลหนี้ต่อกันแต่อย่างใด และพิพากษาจำคุกโจทก์ศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ คดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลักเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงิน โดยที่โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกันจำเลยจึงไม่ผูกพันจะต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่ผู้ฟ้องนำเช็คไปขึ้นเงินโดยไม่มีมูลหนี้ ถือเป็นการกระทำผิดทางอาญา และจำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็ค
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองออกเช็ค 5 ฉบับชำระหนี้ค่าบ้านที่ดินกับค่าหุ้นที่จำเลยซื้อจากโจทก์ตามสัญญาซื้อขาย (เอกสารหมาย จ.3) โจทก์ได้รับเงินตามเช็คเพียง 1 ฉบับส่วนอีก 4ฉบับธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็ค 4 ฉบับพร้อมทั้งดอกเบี้ย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์บังอาจเอาเช็คของจำเลยไปและได้นำเช็คไปขึ้นเงินแล้ว 1ฉบับ จึงขอให้โจทก์คืนเงินและเช็คดังกล่าวให้จำเลยปรากฏว่าโจทก์ได้ถูกอัยการศาลทหารฟ้องเป็นจำเลยและศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้วินิจฉัยว่าโจทก์ลักเช็คทั้ง 5 ฉบับนั้นจากจำเลยที่ 2 ไปลงวันที่สั่งจ่ายแล้วนำไปขึ้นเงินที่ธนาคาร 1 ฉบับ นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก 4 ฉบับทั้งที่โจทก์จำเลยมิได้มีมูลหนี้ต่อกันแต่อย่างใดและพิพากษาจำคุกโจทก์ ศาลทหารกลางพิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ คดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลักเช็คพิพาทจากจำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงิน โดยที่โจทก์จำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จำเลยจึงไม่ผูกพันจะต้องชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องละเมิดและการรับผิดของเจ้าหน้าที่ต่อการยักยอกเงิน, การพิจารณาความรับผิดตามหลักฐานในคดีอาญา
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น"ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้ มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถือว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
of 78