พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2581/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีละเมิดและการแบ่งแยกฐานความรับผิดระหว่างเจ้าหน้าที่ทุจริตและผู้กำกับดูแล
คดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตยักยอกถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สำหรับจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ปฏิบัติไปตามระเบียบแบบแผน เช่นนี้ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งซึ่งผู้เสียหายฟ้องจำเลยที่ 4 กับพวกให้ชดใช้เงินดังกล่าวในคดีอาญาคืนฐานละเมิด ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญา โดยจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันกระทำการทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าน้ำประปาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ อันหมายถึงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์โดยเอาเงินค่าน้ำประปาของโจทก์ไปโดยทุจริต เป็นการยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้โดยไม่มีสิทธิ โจทก์ผู้เป็นเจ้าของเงินมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา 1336 ประกอบด้วยมาตรา 438 ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 5 และที่ 6 โจทก์ขอให้รับผิดใช้ค่าเสียหายเพราะปฏิบัติงานด้วยความประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 สมคบกันยักยอกเอาเงินไปได้ จำเลยที่ 5 ที่ 6 มิได้ยึดถือเงินของโจทก์ไว้ หากจะต้องรับผิดต่อโจทก์ก็เป็นความรับผิดในค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรค 2 ซึ่งมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448
คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้รายงานต่ออธิบดีกรมโจทก์ว่า เห็นควรให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ร่วมกันชดใช้นายดำรงรองอธิบดีได้รับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 และสั่งว่า "ปปก.พิจารณาเสนอความเห็น" ลงชื่อ "ดำรง แทน" เช่นนี้มีความหมายว่านายดำรงสั่งแทนอธิบดีและถื่อว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2506 โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2507 ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ที่ 6 จึงพ้น 1 ปี และขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีอาญาที่ไม่ผูกพันคู่ความอื่น & การฟ้องละเมิดฐานนายจ้าง/ตัวการ
คดีอาญาลูกจ้างของจำเลยถูกฟ้อง แต่โจทก์กับจำเลยมิได้เป็นคู่ความในคดีนั้นด้วย คำพิพากษาไม่ผูกพันโจทก์และศาลไม่ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น
ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการในการที่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยทำละเมิด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในฐานะนายจ้างหรือตัวการในการที่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยทำละเมิด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง และการอุทธรณ์คดีที่มีทุนทรัพย์ลดลง
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาแจ้งความเท็จทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดที่จำเลยไปแจ้งความเท็จทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งถึงที่สุดแล้ว
ทุนทรัพย์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้นต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น
ทุนทรัพย์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้นต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงคดีอาญาถึงที่สุดมีผลผูกพันคดีแพ่งฐานละเมิด หากศาลอาญาไม่พบว่ามีการกระทำความผิด
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาแจ้งความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดที่จำเลยไปแจ้งความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งถึงที่สุดแล้ว
ทุนทรัพย์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น
ทุนทรัพย์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่งเกี่ยวเนื่อง และการชำระหนี้โดยการส่งมอบทรัพย์
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฉ้อโกง ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ โจทก์ส่งมอบให้จำเลยแล้วจำเลยยังไม่ชำระราคา เป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่ผิดฐานฉ้อโกง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์มาฟ้องทางแพ่งให้จำเลยชำระราคาหยก ในคดีอาญาดังกล่าวศาลได้ยกประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยก่อน เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคา จึงวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ประเด็นว่าจำเลยซื้อหยกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่ศาลหยิบยกขึ้นวินิจฉัยในคดีอาญา ฉะนั้นในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาว่าจำเลยได้ซื้อหยกไปจริงและยังไม่ได้ชำระราคาให้โจทก์ตามฟ้อง
แม้ว่าการซื้อขายหยกจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่โจทก์มอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
แม้ว่าการซื้อขายหยกจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่โจทก์มอบหยกให้จำเลยรับไปแล้ว ถือได้ว่ามีการชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 แล้วจึงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกราคาหยกจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1544/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การแบ่งความรับผิดหลายฝ่าย และขอบเขตความรับผิดของนายจ้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ค่าเสียหายของโจทก์รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 1,980,000 บาท แต่โจทก์มิได้เรียกร้องเอาเต็มจำนวนดังกล่าว คงติดใจขอเพียง 700,000 บาท กับดอกเบี้ยอีก 45,125 บาท รวม 748,125 บาท ดังนี้ การคิดค่าขึ้นศาลต้องคิดจากจำนวนเงิน 748,125 บาท ตามทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง
ในคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ต. ฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ เป็นเหตุให้สามีโจทก์ซึ่งโดยสารมากับรถคันนั้นถึงแก่ความตาย และศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ต. คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนกับรถ ต. เป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นคดีแพ่ง ดังนี้ ในคดีอาญาดังกล่าวมีประเด็นเพียงว่า ต.ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยในคดีแพ่งนี้ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเดิม โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ได้
ในกรณีที่จำเลยกับผู้อื่นต่างคนต่างทำละเมิด มิใช่ร่วมกันทำละเมิดนั้น ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลย รับผิดตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งความผิดของจำเลยได้
โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมกับ ต.ทำละเมิด แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นว่าขอให้แบ่งส่วนความรับผิด แต่เรื่องค่าเสียหายนั้นศาลชอบที่จะกำหนดให้ชำระตามสมควรได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้าง ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้าง กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 2 รับผิดน้อยลงศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
ในคดีอาญาที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง ต. ฐานขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ เป็นเหตุให้สามีโจทก์ซึ่งโดยสารมากับรถคันนั้นถึงแก่ความตาย และศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ต. คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ชนกับรถ ต. เป็นเหตุให้สามีโจทก์ถึงแก่ความตายเป็นคดีแพ่ง ดังนี้ ในคดีอาญาดังกล่าวมีประเด็นเพียงว่า ต.ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังหรือไม่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยในคดีแพ่งนี้ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเดิม โจทก์จึงนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ได้
ในกรณีที่จำเลยกับผู้อื่นต่างคนต่างทำละเมิด มิใช่ร่วมกันทำละเมิดนั้น ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลย รับผิดตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งความผิดของจำเลยได้
โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมกับ ต.ทำละเมิด แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอ้างในศาลชั้นต้นว่าขอให้แบ่งส่วนความรับผิด แต่เรื่องค่าเสียหายนั้นศาลชอบที่จะกำหนดให้ชำระตามสมควรได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ว่าเป็นนายจ้าง ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้าง กรณีจึงเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกาก็ตาม เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรให้จำเลยที่ 2 รับผิดน้อยลงศาลฎีกาก็พิพากษาให้มีผลตลอดถึงจำเลยที่ 1 ด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1508/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางสาธารณะพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญา มีผลผูกพันคดีแพ่งเรื่องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
คดีอาญาศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจำเลยมีความผิดลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 385 ข้อเท็จจริงนี้ต้องรับฟังในคดีแพ่งที่จำเลยถูกฟ้องให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทำที่ดินให้คงสภาพทางสาธารณะตามเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลคำพิพากษาคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง: การชำระหนี้หุ้นและข้อพิพาทการละเมิด
คดีแพ่งมีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์โดยจ่ายเงินค่าหุ้นให้ ซ. ทั้งที่รู้ว่า ซ. ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และร่วมกันทำหลักฐานการรับเงินเท็จทำให้โจกท์เสียหายหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้หลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งแล้ว โจทก์ยังได้ฟ้อง ช.กับ จำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาข้อหาว่าปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จ และแสดงหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดี ศาลอาญาฟังข้อเท็จจริงว่า ซ.ได้รับชำระค่าหุ้นจาก ช.แล้ว บันทึกการรับเงินทำขึ้นตามความเป็นจริง มีการชำระเงินตามวันเวลาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นจริง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว การพิจารณาคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คือต้องฟังว่าจำเลยมิได้กระทำการดังที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง: การชำระหนี้หุ้นและการทำเอกสาร
คดีแพ่งมีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์โดยจ่ายเงินค่าหุ้นให้ ซ.ทั้งที่รู้ว่าซ. ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์และร่วมกันทำหลักฐานการรับเงินเท็จทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่ ซึ่งกรณีนี้หลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งแล้ว โจทก์ยังได้ฟ้อง ช. กับจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาข้อหาว่าปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม แจ้งความเท็จและแสดงหลักฐานเท็จในการพิจารณาคดี ศาลอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าซ.ได้รับชำระค่าหุ้นจากช. แล้ว บันทึกการรับเงินทำขึ้นตามความเป็นจริง มีการชำระเงินตามวันเวลาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นจริง พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว การพิจารณาคดีส่วนแพ่งจึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 คือต้องฟังว่าจำเลยมิได้กระทำการดังที่โจทก์ฟ้อง