คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.อ. ม. 46

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 772 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดทำเพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหาย. ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานทำให้เพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหายมาแล้ว.ศาลวินิจฉัยในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบ.ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง. แม้โจทก์จะส่งคำให้การชั้นสอบสวนของพยานสองปากซึ่งในชั้นสอบสวนให้การรู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย. แต่ในชั้นศาล โจทก์ก็ไม่ได้ตัวมาสืบ. ศาลจึงไม่รับฟังคำให้การชั้นสอบสวน. เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน. นอกจากนี้พยานประกอบแวดล้อมของโจทก์ก็รับฟังได้เพียงว่าไฟได้ไหม้สวนยางของผู้เสียหายเท่านั้น. ผู้เสียหายว่าได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยช่วยดับไฟด้วย. จำเลยก็ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อ เป็นการยันกันอยู่. พยานหลักฐานโจทก์จึงตกอยู่ในความสงสัยไม่แน่ใจ.ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้เป็นผลดีแก่จำเลย. พิพากษายกฟ้องโจทก์. ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว.ซึ่งได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยและได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ.ให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง. ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหาได้ไม่. (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2512).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดทำเพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหาย ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานทำให้เพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหายมาแล้ว ศาลวินิจฉัยในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โจทก์จะส่งคำให้การชั้นสอบสวนของพยานสองปากซึ่งในชั้นสอบสวนให้การรู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย แต่ในชั้นศาล โจทก์ก็ไม่ได้ตัวมาสืบศาลจึงไม่รับฟังคำให้การชั้นสอบสวน เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน นอกจากนี้พยานประกอบแวดล้อมของโจทก์รับฟังได้เพียงว่าไฟได้ไหม้สวนยางของผู้เสียหายเท่านั้น ผู้เสียหายว่าได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยช่วยดับไฟด้วย จำเลยก็ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อ เป็นการยันกันอยู่ พยานหลักฐานโจทก์จึงตกอยู่ในความสงสัยไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศางจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยและได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหาได้ไม่
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง: ศาลแพ่งต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดทำเพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหาย ปรากฏว่าจำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาฐานทำให้เพลิงไหม้ต้นยางพาราของโจทก์เสียหายมาแล้วศาลวินิจฉัยในคดีอาญาว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาสืบ ให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง แม้โจทก์จะส่งคำให้การชั้นสอบสวนของพยานสองปากซึ่งในชั้นสอบสวนให้การรู้เห็นการกระทำผิดของจำเลย แต่ในชั้นศาล โจทก์ก็ไม่ได้ตัวมาสืบ ศาลจึงไม่รับฟังคำให้การชั้นสอบสวน เพราะจำเลยไม่มีโอกาสซักค้าน นอกจากนี้พยานประกอบแวดล้อมของโจทก์ก็รับฟังได้เพียงว่าไฟได้ไหม้สวนยางของผู้เสียหายเท่านั้น ผู้เสียหายว่าได้พบจำเลยในวันเกิดเหตุโดยจำเลยช่วยดับไฟด้วย จำเลยก็ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อ เป็นการยันกันอยู่ พยานหลักฐานโจทก์จึงตกอยู่ในความสงสัยไม่แน่ใจว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้เป็นผลดีแก่จำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ซึ่งได้มีการสืบพยานโจทก์จำเลยและได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาหาได้ไม่ (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 18/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขชื่อในสูติบัตรตามหน้าที่และความถูกต้องของข้อมูลแจ้งเกิด โดยไม่มีเจตนาร้าย
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วยกัน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งหมด คงมีการอุทธรณ์ฎีกาต่อมาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง. ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลสูงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น.
มารดาได้แจ้งการเกิดของบุตรต่อจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรกำนัน ผู้ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับแจ้งการเกิด. โดยระบุแจ้งชื่อโจทก์เป็นบิดาเด็กที่เกิดนั้น. แต่จำเลยยังไม่แน่ใจที่จะกรอกลงไปในสูติบัตร จึงได้เว้นว่างไว้.แล้วนายอำเภอเป็นผู้สั่งให้จำเลยแก้โดยให้เติมชื่อและนามสกุลของโจทก์ลงไปในสูติบัตร โดยจำเลยมิได้มีเจตนาร้ายต่อโจทก์. หากแต่ได้แก้ไขเพิ่มเติมไปโดยหน้าที่และตรงตามที่มารดาของเด็กแจ้ง. ดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิด. โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยแก้ชื่อและนามสกุลของโจทก์ออกจากสูติบัตรนั้นไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขสูติบัตรตามหน้าที่ ไม่เจตนาทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่ก่อให้เกิดความรับผิดทั้งทางอาญาและแพ่ง
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วยกัน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งหมด คงมีการอุทธรณ์ฎีกาต่อมาเฉพาะคดีส่วนแพ่ง ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลสูงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น
มารดาได้แจ้งการเกิดของบุตรต่อจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรกำนัน ผู้ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับแจ้งการเกิด โดยระบุแจ้งชื่อโจทก์เป็นบิดาเด็กที่เกิดนั้น แต่จำเลยยังไม่แน่ใจที่จะกรอกลงไปในสูติบัตร จึงได้เว้นว่างไว้ แล้วนายอำเภอเป็นผู้สั่งให้จำเลยแก้โดยให้เติมชื่อและนามสกุลของโจทก์ลงไปในสูติบัตร โดยจำเลยมิได้มีเจตนาร้ายต่อโจทก์ หากแต่ได้แก้ไขเพิ่มเติมไปโดยหน้าที่และตรงตามที่มารดาของเด็กแจ้ง ดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิด โจทก์จะขอให้บังคับจำเลยแก้ชื่อและนามสกุลของโจทก์ออกจากสูติบัตรนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขชื่อในสูติบัตรตามหน้าที่และความถูกต้องของข้อมูลแจ้งเกิด ศาลต้องยึดตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญามาด้วยกัน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้งหมด คงมีการอุทธรณ์ฎีกาต่อมาเฉพาะคดีส่วนแพ่งในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลสูงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดไปแล้วนั้น
มารดาได้แจ้งการเกิดของบุตรต่อจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรกำนันผู้ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับแจ้งการเกิดโดยระบุแจ้งชื่อโจทก์เป็นบิดาเด็กที่เกิดนั้นแต่จำเลยยังไม่แน่ใจที่จะกรอกลงไปในสูติบัตร จึงได้เว้นว่างไว้แล้วนายอำเภอเป็นผู้สั่งให้จำเลยแก้โดยให้เติมชื่อและนามสกุลของโจทก์ลงไปในสูติบัตร โดยจำเลยมิได้มีเจตนาร้ายต่อโจทก์หากแต่ได้แก้ไขเพิ่มเติมไปโดยหน้าที่และตรงตามที่มารดาของเด็กแจ้งดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิดโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยแก้ชื่อและนามสกุลของโจทก์ออกจากสูติบัตรนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาเป็นหลักในการพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวกับความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย โดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียว เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507 ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์ จำเลยคดีนี้เป็นจำเลย โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336 - 1337/2507 ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงใจคดีนี้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย จึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507 และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้ และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยอ้างอิงคำพิพากษาคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยโดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์ จำเลยคดีนี้เป็นจำเลยโดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์พิพากษายืนปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336-1337/2517 ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายจึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507 และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้คำพิพากษาในคดีอาญาเป็นหลักฐานในคดีแพ่งเรื่องละเมิด ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น. จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย. โดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียว. เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย. ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์. จำเลยคดีนี้เป็นจำเลย. โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน. และศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน. ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336-1337/2517. ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้.ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย.จึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507. คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507. และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้. และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438-439/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีแพ่งจากการทุจริต-ยักยอกทรัพย์ การรับผิดของหัวหน้าหน่วยงาน และการพิสูจน์ความรับผิด
กระทรวงการคลังฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยฐานละเมิดเกี่ยวกับเงินภาษีอากรของกรมสรรพากรซึ่งถูกยักยอกไปอายุความเริ่มนับแต่วันที่อธิบดีกรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
เมื่อปรากฏการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากร และกรมสรรพากรได้ตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนพฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าอธิบดีกรมสรรพากร ได้รู้ถึงการละเมิดแล้วต่อมาสรรพากรจังหวัดซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งได้เสนอรายงานให้อธิบดีกรมสรรพากรทราบเรื่องการทุจริตและการจับกุมผู้อยู่ในข่ายสงสัยว่าจะสมคบกันทุจริต ซึ่งมีจำเลยรวมอยู่ในพวกที่ถูกจับด้วยนั้นและต่อมาบุคคลเหล่านี้ก็ได้ถูกผู้ว่าคดีฟ้องกล่าวโทษเป็นคดีอาญาขึ้น ต้องถือว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ได้รับรายงานจากสรรพากรจังหวัด
คณะกรรมการซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรตั้งขึ้นสอบสวนการทุจริตรายงานว่าตรวจพบการทุจริตเพิ่มเติมอีกแต่กรรมการเห็นไม่ลงรอยกันในตัวผู้ต้องรับผิดอธิบดีกรมสรรพากรจึงสั่งให้รองอธิบดีพิจารณา รองอธิบดีพิจารณาแล้วเสนอความเห็นว่าควรให้กองวิทยาการ กรมตำรวจ พิสูจน์ลายมือผู้ทุจริตให้แน่นอนก่อนอธิบดีกรมสรรพากรสั่งให้นำเข้าประชุมปรึกษา กรรมการในที่ประชุมก็เห็นไม่ตรงกัน อธิบดีกรมสรรพากรจึงตั้งกรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่งคณะกรรมการพิจารณาแล้ว เสนอรายงานต่ออธิบดี สำหรับการทุจริตครั้งหลังนี้ถือได้ว่าอธิบดีกรมสรรพากรเพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ได้รับรายงานของคณะกรรมการชุดหลัง
การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจากผู้ที่มิได้กระทำผิดทางอาญานั้น อยู่ในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกแม้จะมีการฟ้องผู้กระทำละเมิดเป็นคดีอาญาด้วย แต่ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดอาญาตามมาตรา 448 วรรคสอง ต้องใช้อายุความตามวรรคแรก เช่นเดียวกัน
จำเลยซึ่งถูกฟ้องคดีอาญาว่ายักยอกเงินของโจทก์เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญาว่า คดียังไม่พอจะให้ศาลชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามและหากข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งฟังไม่ได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้มีการยักยอกเงินของโจทก์จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินที่มีผู้ยักยอกไปให้แก่โจทก์
จำเลยเป็นหัวหน้าส่วนราชการแผนกสรรพากรประจำอำเภอมีตำแหน่งสมุหบัญชีโท มีหน้าที่รับผิดชอบในเงินภาษีอากรตลอดจนตรวจนับเงินสดและเช็คที่มีผู้นำมาชำระค่าภาษีอากรทุกวันหากจำเลยไม่ปล่อยปละละเลยและควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิดและถ้าไม่ปลีกตัวออกจากการเป็นกรรมการถือกุญแจเก็บรักษาเงินผลประโยชน์ตามระเบียบของกรมสรรพากรจำเลยอื่นก็จะไม่มีโอกาสยักยอกเอาเงินภาษีอากรของโจทก์ไปได้ ดังนี้ จำเลยต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นชดใช้เงินให้แก่โจทก์
of 78