คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 826

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 65 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทตัวแทนจำหน่าย สินค้าค้างชำระ ค่าเอพีดี และหน้าที่คืนสินค้า
โจทก์เป็นผู้กำหนดเงินค่า เอพี ดี ให้แก่จำเลยต่อเมื่อจำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือร้อยละของราคาสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อ และโจทก์ส่งมอบแต่ละครั้ง เมื่อจำเลยยังไม่ได้สั่งสินค้าจากโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้ส่งมอบ เงินเอพี ดี ที่โจทก์จะกำหนดให้จำเลยก็ไม่มี การที่จำเลยทดรองจ่ายเงิน เอพี ดี ไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยพลการจำเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์ โจทก์ให้สิทธิแก่จำเลยในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในเขตกรุงเทพมหานคร มีกำหนด 2 ปี เมื่อจำเลยกระทำการอันเป็นการผิดข้อตกลงจนโจทก์ต้องบอกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์แก่จำเลย และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยคืนสินค้าที่เหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายในกำหนด ทั้งจำเลยได้ทราบข้อความในหนังสือแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่จะต้องคืนสินค้าให้แก่โจทก์ การที่จำเลยไม่คืนสินค้าแก่โจทก์โดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานย่อมทำให้คุณภาพของสินค้าเสื่อมลงได้ จำเลยจึงต้องรับผิดในสินค้าเหล่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาตัวแทนจำหน่ายและผลกระทบจากการไม่คืนสินค้า
โจทก์เป็นผู้กำหนดเงินค่า เอ พี ดี ให้เแก่จำเลยต่อเมื่อจำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ไปจำหน่ายโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์หรือร้อยละของราคาสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อ และโจทก์ส่งมอบแต่ละครั้ง เมื่อจำเลยยังไม่ได้สั่งสินค้าจากโจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้ส่งมอบ เงิน เอ พี ดี ที่โจทก์จะกำหนดให้จำเลยก็ไม่มี การที่จำเลยทดรองจ่ายเงิน เอ พี ดี ไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยพลการ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาแก่โจทก์
โจทก์ให้สิทธิแก่จำเลยในการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในเขตกรุงเทพมหานคร มีกำหนด 2 ปี เมื่อจำเลยกระทำการอันเป็นการผิดข้อตกลงจนโจทก์ต้องบอกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์แก่จำเลย และโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยคืนสินค้าที่เหลืออยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายในกำหนด ทั้งจำเลยได้ทราบข้อความในหนังสือแล้ว จำเลยย่อมมีหน้าที่จะต้องคืนสินค้าให้แก่โจทก์ การที่จำเลยไม่คืนสินค้าแก่โจทก์โดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานย่อมทำให้คุณภาพของสินค้าเสื่อมลงได้ จำเลยจึงต้องรับผิดในสินค้าเหล่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5919/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจทนายหลังคู่ความถึงแก่กรรม: การระงับสัญญาตัวแทนและระยะเวลาปกปักรักษาประโยชน์
การแต่งตั้งทนายความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 เป็นการตั้งตัวแทนตาม ป.พ.พ. ลักษณะ 15 ว่าด้วยตัวแทน เมื่อโจทก์ผู้แต่งตั้งถึงแก่กรรม กรณีจึงต้องด้วย ป.พ.พ. มาตรา 828 คือแม้สัญญาตัวแทนจะระงับไป แต่ทนายโจทก์ยังมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์ต่อไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของโจทก์จะเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้น ๆ โดยการเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ผู้มรณะตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 เมื่อปรากฏว่าโจทก์ถึงแก่กรรมในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่ก็ไม่มีทายาทหรือผู้แทนของโจทก์ขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ จนกระทั่งศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาและศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้ทนายโจทก์ฟังเมื่อโจทก์ถึงแก่กรรมเกิน 1 ปีแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทน หรือทนายโจทก์จะจัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของโจทก์แล้ว ทนายโจทก์จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ต่อไป เมื่อทนายโจทก์ยื่นฎีกาคดีนี้ในขณะที่หมดอำนาจแล้ว ฎีกาของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4514/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการใช้ศาลต้องมีกฎหมายรองรับ กรณีไม่มีกฎหมายให้สิทธิ ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง
บุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ได้ ต่อเมื่อมีกฎหมายสารบัญญัติสนับสนุนว่าเป็นกรณีจำเป็นจะต้องร้องขอต่อศาลเพื่อรับรองหรือคุ้มครองสิทธิของตนที่มีอยู่ การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งถอนมารดาผู้ร้องออกจากการเป็นตัวแทน เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องในอันที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีและการแก้ไขคำพิพากษาที่เป็นผลดีต่อจำเลย
แม้โจทก์ได้มอบอำนาจทุกอย่างให้หัวหน้าเขตดำเนินการและโจทก์ยังไม่ได้เพิกถอนการมอบอำนาจคืน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องคดีได้เอง เพราะโจทก์เป็นตัวการส่วนหนัวหน้าเขตเป็นเพียงตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นการขัดต่อเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารและข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้ไม่มีคำว่าจะก่อให้เกิดเสียหายอย่างไรก็เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด
การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยทำทางเดินกว้าง 1 เมตรในชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แทนการให้จำเลยต้องทุบเสาคอนกรีตเสริมเหล็กออกนั้นก็เป็นผลดีแก่จำเลยอย่างที่สุดแล้วและศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้แก้ไขได้คำพิพากษาที่เป็นผลดีแก่จำเลยเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะหากศาลพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมจะทำให้จำเลยเสียหายยิ่งกว่าที่ให้แก้ไข.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีก่อสร้างผิดแบบ และการแก้ไขคำพิพากษาที่เป็นประโยชน์แก่จำเลย
แม้โจทก์ได้มอบอำนาจทุกอย่างให้หัวหน้าเขตดำเนินการและโจทก์ยังไม่ได้เพิกถอนการมอบอำนาจคืน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องคดีได้เอง เพราะโจทก์เป็นตัวการส่วนหัวหน้าเขตเป็นเพียงตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เท่านั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นการขัดต่อเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และขัดต่อพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้ไม่มีคำว่าจะก่อให้เกิดเสียหายอย่างไรก็เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด
การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยทำทางเดินกว้าง 1 เมตรในชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แทนการให้จำเลยต้องทุบเสาคอนกรีตเสริมเหล็กออกนั้นก็เป็นผลดีแก่จำเลยอย่างที่สุดแล้วและศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้แก้ไขได้คำพิพากษาที่เป็นผลดีแก่จำเลยเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ เพราะหากศาลพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมจะทำให้จำเลยเสียหายยิ่งกว่าที่ให้แก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดี, การต่อเติมอาคารผิดแบบ, และขอบเขตคำพิพากษาที่ศาลใช้ดุลพินิจได้
แม้โจทก์ได้มอบอำนาจทุกอย่างให้หัวหน้าเขตดำเนินการและโจทก์ยังไม่ได้เพิกถอนการมอบอำนาจคืน โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องคดีได้เองเพราะโจทก์เป็นตัวการส่วนหัวหน้าเขตเป็นเพียงตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เท่านั้น โจทก์ฟ้องจำเลยให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นการขัดต่อเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพ เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร และขัดต่อพระราชบัญญัติ ควบคุมการก่อสร้างอาคารและพระราชบัญญัติควบคุมอาคารอันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความปลอดภัยและป้องกันอัคคีภัยการสัญจรไปมาและรักษาอาคารให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแม้ไม่มีคำว่าจะก่อให้เกิดเสียหายอย่างไรก็เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ทำให้จำเลยหลงต่อสู้แต่อย่างใด การที่ศาลล่างทั้งสองสั่งให้จำเลยทำทางเดินกว้าง 1 เมตรในชั้นที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 แทนการให้จำเลยต้องทุบเสาคอนกรีตเสริมเหล็กออกนั้น ก็เป็นผลดีแก่จำเลยอย่างที่สุดแล้วและศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งให้แก้ไขได้คำพิพากษาที่เป็นผลดีแก่จำเลยเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอเพราะหากศาลพิพากษาให้ตามคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ก่อสร้างต่อเติมจะทำให้จำเลยเสียหายยิ่งกว่าที่ให้แก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2088/2530 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจรับเงินค่าก่อสร้างสิ้นสุดเมื่องานเสร็จและรับเงินครบถ้วน สิทธิเรียกร้องจึงระงับ
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจรับเงินค่าก่อสร้างโรงเรียน น.จากกรมสามัญศึกษาตลอดไปจนเสร็จงาน เมื่อได้ความว่าการก่อสร้างได้แล้วเสร็จและจำเลยผู้มอบอำนาจให้โจทก์รับเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวได้รับเงินไป จากกรมสามัญศึกษาหมดสิ้นแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าก่อสร้างจากกรมสามัญศึกษาโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยทำให้ไว้ได้อีกย่อมไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ส่วนโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยรับไปเพียงใดเป็นเรื่องที่จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวเอากับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิรับเงินจากกรมสามัญศึกษาตามหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินหรือทรัพย์สินจากจำเลยด้วย จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท คู่ความเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเกินมาให้แก่คู่ความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2088/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจรับเงินค่าก่อสร้างสิ้นสุดลงเมื่องานเสร็จและจำเลยรับเงินครบถ้วน โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องอีกต่อไป
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า โจทก์มีอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจรับเงินค่าก่อสร้างโรงเรียน น.จากกรมสามัญศึกษาตลอดไปจนเสร็จงาน เมื่อได้ความว่าการก่อสร้างได้แล้วเสร็จและจำเลยผู้มอบอำนาจให้โจทก์รับเงินค่าก่อสร้างดังกล่าวได้รับเงินไปจากกรมสามัญศึกษาหมดสิ้นแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าก่อสร้างจากกรมสามัญศึกษาโดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยทำให้ไว้ได้อีกย่อมไม่อาจบังคับให้เป็นไปตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไปส่วนโจทก์มีสิทธิได้รับเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยรับไปเพียงใดเป็นเรื่องที่จะไปฟ้องร้องว่ากล่าวเอากับจำเลยเป็นอีกส่วนหนึ่ง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิรับเงินจากกรมสามัญศึกษาตามหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินหรือทรัพย์สินจากจำเลยด้วย จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท คู่ความเสียค่าขึ้นศาลในแต่ละศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเกินมาให้แก่คู่ความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดเจ้าหน้าที่, การจดทะเบียนที่ดินไม่ชอบ, รอนสิทธิ์, เพิกถอนรายการจดทะเบียน
ผู้มอบอำนาจตาย ก่อนจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ หนังสือมอบอำนาจย่อมระงับสิ้นไปหรือหมดสภาพไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 826 จำเลยร่วมซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินทราบแล้วว่าผู้มอบอำนาจตาย แต่ยังดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจนเสร็จสิ้น ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ การกระทำของจำเลยร่วมเป็นการปฏิบัติราชการในหน้าที่ฝ่าฝืนกฎหมายเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยร่วมเป็นข้าราชการในสังกัดของกรมที่ดิน จำเลยที่ 1 ทำละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 1 ย่อมต้องร่วมรับผิดด้วยตาม ป.พ.พ. มาตรา 76 กรมที่ดินย่อมมีอำนาจสั่งเพิกถอนและแก้ไขรายการจดทะเบียนที่ดินและโฉนด ที่ดิน ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และแบ่งแยกโฉนด โดยมิชอบ โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจที่ระงับสิ้นไปแล้วเพราะผู้มอบอำนาจตาย ได้ ตาม ป. กฎหมายที่ดินมาตรา 61 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ แม้จำเลยที่ 3 จะซื้อที่พิพาทมาโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันทางทะเบียนและเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตก็ตาม แต่โจทก์ก็รับซื้อทรัพย์สินดังกล่าวไว้จากจำเลยที่ 3 โดยสุจริตเช่นกัน เมื่อกรมที่ดินสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนที่พิพาทและโฉนด ที่พิพาท เป็นเหตุให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นกลับคืนไปยังเจ้าของที่แท้จริงกรณีเช่นนี้ถือว่า โจทก์ถูกรอน สิทธิ์ จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 479.
of 7