พบผลลัพธ์ทั้งหมด 335 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 690/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม
โจทก์จำเลยทำสัญญากันว่าโจทก์จ่ายเงินให้จำเลยในการที่จำเลยจะหาทนายฟ้องนายหมะ เรื่องแย่งกรรมสิทธิที่ดิน 6 แปลง ถ้าแพ้คดีนายหมะ เงินที่โจทก์จ่ายไปเป็นพับ ถ้าคดีชนะจำเลยยอมมอบกรรมสิทธิที่ดิน 6 แปลงให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ต้องเลี้ยงดูจำเลยจนตลอดชีวิตร ดังนี้ เป็นสัญญาที่ทำขึ้นโดยตกลงให้ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการเป็นความ ซึ่งคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีส่วนในมูลคดีนั้น ๆ ย่อมเป็นการแสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น อันเป็นความกัน นับว่าเป็นการขัดแก่ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ป.ม.แพ่ง มาตรา 113
(อ้างฎีกา 510 / 2468)
(อ้างฎีกา 510 / 2468)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกสินสมรสและการลงชื่อในโฉนดสำหรับคู่สมรสที่สมรสก่อนใช้ ป.ม.แพ่ง บรรพ 5
ก.ม.ลักษณะผัวเมียไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ให้มีการแยกสินบริคณห์ โดยไม่ได้ฟ้องหย่า แต่ก็ไม่มีบังคับไว้ว่าถ้ายังไม่หย่า จะต้องบริคณห์ทรัพย์สินกันเสมอไปจะแยกมิได้
การที่จะนำ ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1472, 1467 มาใช้แก่คู่สมรส ซึ่งสมรสก่อนใช้ ป.ม.แพ่ง ฯ บรรพ 5 จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือน ถึงการสมรสหรือสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่ พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ป.ม.แพ่งฯ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) ยกเว้นไว้แล้วนั้นแต่อย่างใด
ฟ้องโจทก์ขอให้แยกสินบริคณห์ถ้าสั่งแยกไม่ได้ จึงขอให้สั่งให้โจทก์มีชื่อร่วมในโฉนด ไม่เป็นคำขอที่ขัดกันและไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่ได้ขอทั้ง 2 อย่าง โจทก์ขออย่างแรกก่อน ต่อเมื่อไม่ได้ จึงขออย่างที่สอง
การที่จะนำ ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1472, 1467 มาใช้แก่คู่สมรส ซึ่งสมรสก่อนใช้ ป.ม.แพ่ง ฯ บรรพ 5 จึงไม่เป็นการกระทบกระเทือน ถึงการสมรสหรือสัมพันธ์ในครอบครัวตามความหมายที่ พ.ร.บ.ให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่ง ป.ม.แพ่งฯ พ.ศ. 2477 มาตรา 4(1) ยกเว้นไว้แล้วนั้นแต่อย่างใด
ฟ้องโจทก์ขอให้แยกสินบริคณห์ถ้าสั่งแยกไม่ได้ จึงขอให้สั่งให้โจทก์มีชื่อร่วมในโฉนด ไม่เป็นคำขอที่ขัดกันและไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม เพราะโจทก์ไม่ได้ขอทั้ง 2 อย่าง โจทก์ขออย่างแรกก่อน ต่อเมื่อไม่ได้ จึงขออย่างที่สอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา ผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิบอกเลิกได้ การต่อสู้เรื่องตัวแทนต้องยกขึ้นเป็นประเด็นชัดเจน
สัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า ผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตาม ป.ม.แพ่งฯ มาตรา 566.
จำเลยให้การว่าการบอกเลิกสัญญาของนายสถิตย์ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะนายสถิตย์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายแม้นต่างหาก จำเลยไม่ได้กล่าวให้มีประเด็นไว้ในคำให้การว่า นายสถิตย์ไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ในการบอกเลิกสัญญา ฉะนั้นเพียงแต่คำให้การของจำเลย จึงยังไม่พอจะชี้ได้ว่าการบอกเลิกสัญญานั้น ไม่มีผลตามกฎหมาย
คดีที่จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งชี้ขาด จำเลยจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้.
(อ้างฎีกาที่ 1/2492.)
จำเลยให้การว่าการบอกเลิกสัญญาของนายสถิตย์ไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะนายสถิตย์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายแม้นต่างหาก จำเลยไม่ได้กล่าวให้มีประเด็นไว้ในคำให้การว่า นายสถิตย์ไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ในการบอกเลิกสัญญา ฉะนั้นเพียงแต่คำให้การของจำเลย จึงยังไม่พอจะชี้ได้ว่าการบอกเลิกสัญญานั้น ไม่มีผลตามกฎหมาย
คดีที่จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งชี้ขาด จำเลยจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้.
(อ้างฎีกาที่ 1/2492.)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 166/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา ผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แม้ตัวแทนไม่ใช่คู่สัญญา
สัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า ผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566
จำเลยให้การว่าการบอกเลิกสัญญาของนายสถิตย์ไม่มีผลตามกฎหมายเพราะนายสถิตย์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายแม้นต่างหาก จำเลยไม่ได้กล่าวให้มีประเด็นไว้ในคำให้การว่า นายสถิตย์ไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ในการบอกเลิกสัญญา ฉะนั้นเพียงแต่คำให้การของจำเลย จึงยังไม่พอจะชี้ได้ว่าการบอกเลิกสัญญานั้น ไม่มีผลตามกฎหมาย
คดีที่จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งชี้ขาด จำเลยจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1/2492)
จำเลยให้การว่าการบอกเลิกสัญญาของนายสถิตย์ไม่มีผลตามกฎหมายเพราะนายสถิตย์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย จำเลยทำสัญญาเช่ากับนายแม้นต่างหาก จำเลยไม่ได้กล่าวให้มีประเด็นไว้ในคำให้การว่า นายสถิตย์ไม่ใช่ตัวแทนของโจทก์ในการบอกเลิกสัญญา ฉะนั้นเพียงแต่คำให้การของจำเลย จึงยังไม่พอจะชี้ได้ว่าการบอกเลิกสัญญานั้น ไม่มีผลตามกฎหมาย
คดีที่จำเลยขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นตามมาตรา 24 เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งชี้ขาด จำเลยจะยกขึ้นฎีกาไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1/2492)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การอนุมัติสวมสิทธิไม่ถือเป็นการรับมรดกสิทธิเดิม จำเลยมีสิทธิสู้คดีใหม่ได้
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การรวมสิทธิมรดกไม่ผูกพันจำเลยในการฟ้องร้องใหม่
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิฉะเพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา สิทธิบอกเลิกสัญญา และผลของการบอกเลิกสัญญาโดยตัวแทน
สัญญาเช่ามีข้อความว่า "เมื่อผู้เช่าชำระค่าเช่าให้ตามกำหนดและปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ปรากฎอยู่ในนี้แล้วผู้เช่าจะอยู่ในสถานที่เช่าได้ โดยปรกติสุขตลอดระยะเวลาเช่า" เป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลแพ่งฯ มาตรา566.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกได้ การบอกเลิกสัญญาโดยตัวแทนชอบธรรม
สัญญาเช่ามีข้อความว่า'เมื่อผู้เช่าชำระค่าเช่าให้ตามกำหนดและปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ปรากฏอยู่ในนี้แล้ว ผู้เช่าจะอยู่ในสถานที่เช่าได้โดยปกติสุขตลอดระยะเวลาเช่า' นั้น เป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา566
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องคดีแพ่งไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ระบุวันเดือนปีเกิดสัญญา หากข้อหาและข้อต่อสู้ชัดเจน
ข้อความที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องที่แพ่งนั้น ย่อมต่างกับฟ้องคดีอาญา เพราะในคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบ ฉะนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางอย่าง จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งอย่างที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ป.ม.วิ.อาญาในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในมาตรา 172 ป.ม.วิ.แพ่งแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่า เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือน มีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์ บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้ว จำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่า เมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือน มีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์ บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้ว จำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องระบุวันเดือนปีที่แน่นอน หากข้อหาและข้อต่อสู้ชัดเจน
ข้อความที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่งนั้น ย่อมต่างกับฟ้องคดีอาญาเพราะในคดีแพ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิหน้าที่และความรับผิดฉะนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำบางอย่าง จึงมิใช่ข้อสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่ง อย่างที่บังคับไว้ในมาตรา 158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในคดีแพ่งมีบทบังคับไว้ในมาตรา 172 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่าเมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้วจำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
โจทก์กล่าวในคำฟ้องได้ความว่าเมื่อวันเวลาใดจำไม่ได้ราวเดือนมีนาคม 2489 จำเลยได้ตกลงขายนาให้โจทก์บัดนี้ถึงกำหนดโอนกันแล้วจำเลยกลับบิดพริ้วไม่ยอมโอน ทั้งฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยไม่ได้ทำสัญญาจะขายที่นาให้แก่โจทก์ดังฟ้องเลย ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ก็ดี ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นก็ดี ได้ปรากฏแจ้งชัดในคำฟ้องนั้นแล้ว โดยจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ปฏิเสธว่าไม่เคยทำสัญญาเช่นว่านั้นกับโจทก์เลย ฟ้องของโจทก์จึงถูกต้องตามกฎหมายแล้ว