คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 297

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 319 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า-ทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความร้ายแรงของการกระทำและอาวุธที่ใช้เพื่อกำหนดความผิดฐานพยายามฆ่าหรือทำร้ายร่างกาย
จำเลยใช้ไม้ขนาดกว้าง 3 นิ้ว หนา 1 นิ้วครึ่ง ยาว1 วา เท่าที่จะหาได้ในที่เกิดเหตุ ตีหน้าผากผู้เสียหาย1 ที กะโหลกศีรษะแตก รักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 10 วัน แสดงว่าไม่ตั้งใจจะใช้อาวุธที่ร้ายแรงทั้งมิได้ตีซ้ำเมื่อผู้เสียหายล้มลงอยู่ในโอกาสที่จะตีได้อีก สาเหตุเดิมก็เพียงเป็นคนต่างถิ่นไม่ค่อยถูกกัน การบาดเจ็บก็มิได้รุนแรงมากมาย แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,80 โดยมิได้บรรยายว่าผู้เสียหายทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ดังนี้เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า จะพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) มิได้ คงลงโทษได้เพียงตาม มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัว การใช้กำลังเกินสมควร และการยกฟ้องอาญาเมื่อไม่มีความผิดตามกฎหมายอาวุธปืน
การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนักเป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลยเพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้ จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตายและมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุดแล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืนปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนีแต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะ ทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1นัดแล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไปถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่าจำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทหรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลยมีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8ทวิ และจำเลยย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯเมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวโดยชอบธรรม การพกพาอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาต และอำนาจยกฟ้องของศาลฎีกา
การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกันคำพูดของจำเลย ที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอนต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนัก เป็นเพียงการแสดงความเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใด ที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลย เพียงแค่นี้จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้
จำเลยถูกตีที่ทัดดอกไม้ด้านขวาจนร่วงตกจากเก้าอี้เข่าทรุดลงกับพื้น ผู้ตายเข้าล็อกคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตาย และมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลยจำเลยสะบัดหลุด แล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามาทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืน ปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตายจำเลยวิ่งหนี แต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1 นัด แล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลงกระสุนปืนนัดที่สองพลาดไป ถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือพยายามฆ่า จำเลยจึงไม่มีความผิดและจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาท หรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้
เมื่อปรากฏว่าจำเลยมีใบอนุญาตพกอาวุธปืนของกรมตำรวจซึ่งจำเลย มีสิทธิพกอาวุธปืนได้ทั่วราชอาณาจักรเพื่อปฏิบัติราชการสืบสวน กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับแห่ง มาตรา 8 ทวิ และจำเลย ย่อมไม่มีความผิดตาม มาตรา 72 ทวิ แห่ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เมื่อปรากฏแก่ศาลฎีกาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1738/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกายสาหัส: การพิจารณาความผิดฐานพยายามฆ่าจากพฤติการณ์และการกระทำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายทีโดยเจตนาฆ่าจำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย เพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 297 คำบรรยายฟ้องดังกล่าวยืนยันเจตนาในการกระทำผิดของจำเลยว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่เพียงสถานเดียวส่วนที่บรรยายต่อมาว่าผู้เสียหายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสนั้น เป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้เสียหายเท่านั้น แม้โจทก์จะอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ก็เป็นการขอตามผลที่เกิดจากการกระทำผิดของจำเลย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดตามที่โจทก์บรรยายยืนยันมาแล้วเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80,78 จำคุก 6 ปี 8 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 78 จำคุก 2 ปีเป็นการพิพากษาแก้ทั้งบทและแก้ทั้งโทษ จึงเป็นการแก้ไขมากโจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยใช้มีดปลายแหลม 2 คม เฉพาะตัวมีดยาว 17 เซนติเมตรกว้าง 2 เซนติเมตรแทงผู้เสียหายครั้งแรกถูกที่โคนแขนซ้ายเพราะผู้เสียหายเอี้ยวหลบทันเป็นการแทงในระดับทรวงอกที่มีอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย เมื่อผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยยังวิ่งไล่ตามและแทงซ้ำอีกที่ด้านหลังถูกบริเวณเอวจนคมมีดทะลุลำไส้ใหญ่ แสดงว่าเป็นการแทงโดยแรง ผู้เสียหายต้องวิ่งหนีและร้องเรียกให้คนช่วย จำเลยจึงได้หลบหนีไป แพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าบาดแผลของผู้เสียหายหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้และจะต้องใช้เวลารักษาประมาณ 60 วันพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1738/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: การพิพากษาความผิดฐานพยายามฆ่าโดยพิจารณาจากพฤติการณ์และเจตนาของผู้กระทำ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายทีโดยเจตนาฆ่าจำเลยลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า 20 วัน และประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288,297 คำบรรยายฟ้องดังกล่าวยืนยันเจตนาในการกระทำผิดของจำเลยว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแต่เพียงสถานเดียวส่วนที่บรรยายต่อมาว่าผู้เสียหายเพียงแต่ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสนั้น เป็นแต่เพียงผลที่เกิดจากความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้เสียหายเท่านั้นแม้โจทก์จะอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วยก็เป็นการขอตามผลที่เกิดจากการกระทำผิดของจำเลยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดตามที่โจทก์บรรยายยืนยันมาแล้วเท่านั้น ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 78 จำคุก 6 ปี 8 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297,78 จำคุก2 ปีเป็นการพิพากษาแก้ทั้งบทและแก้ทั้งโทษ จึงเป็นการแก้ไขมากโจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยใช้มีดปลายแหลม 2 คม เฉพาะตัวมีดยาว 17 เซนติเมตรกว้าง 2 เซนติเมตรแทงผู้เสียหายครั้งแรกถูกที่โคนแขนซ้ายเพราะผู้เสียหายเอี้ยวหลบทันเป็นการแทงในระดับทรวงอกที่มีอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยยังวิ่งไล่ตามและแทงซ้ำอีกที่ด้านหลังถูกบริเวณเอวจนคมมีดทะลุลำไส้ใหญ่แสดงว่าเป็นการแทงโดยแรงผู้เสียหายต้องวิ่งหนีและร้องเรียกให้คนช่วย จำเลยจึงได้หลบหนีไปแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าบาดแผลของผู้เสียหายหากรักษาไม่ทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้และจะต้องใช้เวลารักษาประมาณ 60 วันพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยแทงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกายสาหัส: พฤติการณ์การทำร้าย, ลักษณะบาดแผล, และการขาดเจตนาฆ่า
ผู้เสียหายและจำเลยต่างมีสามีคนเดียวกันอยู่คนละบ้าน วันเกิดเหตุผู้เสียหายไปหาสามีที่บ้านจำเลยแล้วเกิดโต้เถียงกันในเรื่องหึงหวงสามี จำเลยจึงเอามีดทำครัวมาฟันผู้เสียหายในบ้านทันทีทันใดโดยมิได้คาดคิดมาก่อน ผู้เสียหายถูกจำเลยฟันมีบาดแผลที่หนังศีรษะและข้อศอกข้างขวาแล้วผู้เสียหายล้มลงหมดสติ จำเลยมีโอกาสเลือกฟันผู้เสียหายได้อีก แต่กลับไม่ฟันตรงอวัยวะสำคัญโดยฟันที่ขาข้างซ้ายด้านข้างของผู้เสียหาย บาดแผลทั้งหมดเสียเลือดไม่มาก ไม่ทำให้ถึงแก่ความตายคงมีเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอกที่ทำให้ข้อศอกอาจใช้การไม่ได้เท่านั้น และปรากฏว่าใช้เวลารักษา1 เดือน 10 วันหาย เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะแสดงให้เห็นเจตนาฆ่า จำเลยควรมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1634/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายสาหัส: เจตนาฆ่าไม่ปรากฏ แม้ฟันหลายครั้ง แต่บาดแผลไม่รุนแรงถึงชีวิต
ผู้เสียหายและจำเลยต่างมีสามีคนเดียวกันอยู่คนละบ้านวันเกิดเหตุผู้เสียหายไปหาสามีที่บ้านจำเลยแล้วเกิดโต้เถียงกันในเรื่องหึงหวงสามีจำเลยจึงเอามีดทำครัวมาฟันผู้เสียหายในบ้านทันทีทันใดโดยมิได้คาดคิดมาก่อนผู้เสียหายถูกจำเลยฟันมีบาดแผลที่หนังศีรษะและข้อศอกข้างขวาแล้วผู้เสียหายล้มลงหมดสติจำเลยมีโอกาสเลือกฟันผู้เสียหายได้อีกแต่กลับไม่ฟันตรงอวัยวะสำคัญโดยฟันที่ขาข้างซ้ายด้านข้างของผู้เสียหายบาดแผลทั้งหมดเสียเลือดไม่มาก ไม่ทำให้ถึงแก่ความตายคงมีเฉพาะบาดแผลที่ข้อศอกที่ทำให้ข้อศอกอาจใช้การไม่ได้เท่านั้นและปรากฏว่าใช้เวลารักษา1 เดือน 10 วันหาย เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะแสดงให้เห็นเจตนาฆ่าจำเลยควรมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแทงทำร้ายร่างกายจากการวิวาท การพิจารณาเจตนาและสิทธิป้องกันตัว
จำเลยและผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ต่างดื่มเหล้ามึนเมาแล้วเกิดปากเสียงทะเลาะกัน จำเลยจึงแทงผู้เสียหายด้วยความโมโห ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่บริเวณท้องมีแผ่นไขมันในช่องท้องโผล่ออกมา มีบาดแผลทะลุลำไส้ใหญ่ไม่ปรากฏว่าบาดแผลมีความกว้างยาวเท่าใดและลำไส้มิได้ไหลออกมาจากบาดแผล การที่จำเลยแทงเพียงครั้งเดียวก็วิ่งหลบหนีไปโดยมิได้แสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้เสียหายแต่ประการใด ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
การที่จำเลยแทงผู้เสียเกิดจากทั้งสองฝ่ายสมัครใจวิวาทกันมิใช่ผู้เสียหายประทุษร้ายจำเลยฝ่ายเดียว อันเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิป้องกันตัวได้จำเลยจึงอ้างว่าเป็นการป้องกันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2528

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงสาระสำคัญในฟ้องคดีอาญา ศาลต้องลงโทษตามฟ้องเดิม
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 299 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงตามฟ้องในคดีอาญา การลงโทษต้องเป็นไปตามฟ้องเดิม
ฟ้องว่าจำเลยกับพวกทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ทางพิจารณาได้ความว่าผู้เสียหายถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญ ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ไม่ได้
of 32