พบผลลัพธ์ทั้งหมด 74 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 78-79/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการประเมินบาดแผลเพื่อพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัส
การที่จำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุด่าโจทก์ก่อน เมื่อโจทก์จะเข้ามาทำร้ายร่างกาย จำเลยจึงได้ทำร้ายโจทก์นั้น ไม่เป็นการป้องกัน
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาไม่เพียงพอแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมฟังข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานหลักฐานในสำนวนได้
จำเลยทำร้ายโจทก์บาดเจ็บมีแผลที่หางคิ้วซ้ายยาวประมาณ4.5 เซนติเมตร เย็บไว้ 12 เข็ม แพทย์ผู้ตรวจรักษาบาดแผลว่าแผลนี้เมื่อหายแล้วเป็นแผลเป็นมองเห็นได้ในระยะ 6 เมตรแต่แผลเป็นนี้อาจจางลงได้ และปรากฏจากภาพถ่ายว่า แผลที่คิ้วซ้ายเป็นเพียงรอยขีด ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก ดังนี้ จึงยังไม่ถึงกับทำให้หน้าเสียโฉมอย่างติดตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(4).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม-ปัญหาข้อกฎหมายใหม่-การรับสารภาพ: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาที่ยกข้อกฎหมายใหม่หลังจำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอการลงโทษ เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2325/2528 ของศาลชั้นต้น กับฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะมิได้ฟ้องคดีภายใน 72ชั่วโมงและไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการฎีกาดังกล่าวแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่จำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยไม่มีปรากฏในการพิจารณาของศาลชั้นต้น ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างจึงไม่เกิดขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3305/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางอาญาจากการไม่ถอนฟ้องคดีเช็ค แม้มีการผ่อนชำระหนี้ แต่ไม่มีข้อตกลงถอนฟ้องเมื่อชำระหนี้ครบ
คดีเดิม จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ศาลลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มีการตกลงกันว่าจำเลยขอผัดผ่อนการชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจ ลงโทษจำเลยต่อไป ไม่มีข้อตกลงว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินงวดสุดท้ายแล้วจำเลยจะถอน ฟ้อง หรือจะถอน ฟ้องเมื่อโจทก์ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์ชำระหนี้งวดสุดท้ายเกินกำหนดเวลาในข้อตกลงเกือบ 2 เดือนจึงไม่มีความผูกพันที่จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอถอน ฟ้อง ดังนั้นการที่โจทก์ต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกมิใช่เป็นผลจากการกระทำของจำเลย คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน หากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมรับฟังข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3305/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงผ่อนชำระหนี้เช็คและการถอนฟ้อง: ความรับผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ชำระหนี้ล่าช้า
คดีเดิมจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ศาลลงโทษตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค มีการตกลงกันว่าจำเลยขอผัดผ่อนการชำระหนี้แก่โจทก์เพื่อให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยต่อไป ไม่มีข้อตกลงว่า เมื่อโจทก์ชำระเงินงวดสุดท้ายแล้วจำเลยจะถอนฟ้อง หรือจะถอนฟ้องเมื่อโจทก์ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์ชำระหนี้งวดสุดท้ายเกินกำหนดเวลาในข้อตกลงเกือบ 2 เดือน จึงไม่มีความผูกพันที่จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ดังนั้นการที่โจทก์ต้องถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกมิใช่เป็นผลจากการกระทำของจำเลย
คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน หากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมรับฟังข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมได้.
คดีต้องห้ามอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน หากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมรับฟังข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่เมื่อมีการอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย และการยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง
กรณีที่มีการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัย ข้อกฎหมายนั้นๆ ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของ ศาลชั้นต้น แต่ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(3)(ก) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้น เท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์คดีอาญา และการห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 193 ทวิ
กรณีที่มีการอุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นๆ ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่ถ้าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 (3) (ก) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้นเท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
โจทก์อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจถือเอาข้อเท็จจริงตาม คำพิพากษาคดีแพ่งมาผูกพันโจทก์ในคดีอาญาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยศาลชั้นต้นชอบที่จะวินิจฉัยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเพื่อประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณานั้นเท่ากับโจทก์อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แล้วพิพากษาหรือมีคำสั่งชี้ขาดไปตามนั้นได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่าเอกสารสัญญากู้ที่จำเลยใช้เป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ในคดีแพ่งเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานแสดงหลักฐานเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น เป็น การยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2913/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ข้อเท็จจริงใหม่หลังรับสารภาพ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจสั่งสืบพยานเพิ่มเติม
ศาลชั้นต้นพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานว่าจำเลยมีความผิดและลงโทษตามฟ้องโจทก์โดยจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกข้อหาซึ่งมีข้อหาฐานมีลูกระเบิดไว้ในความครอบครองรวมอยู่ด้วยเช่นนี้ การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าลูกระเบิดไม่มีดินระเบิดและเชื้อปะทุจำเลยย่อมไม่มีความผิดข้อหามีลูกระเบิดจึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ซึ่งมิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้นและเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องแล้วศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นสอบโจทก์เกี่ยวกับรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางหรือสืบพยานผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางอีกต่อไป
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติตามฟ้องแล้วศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจสั่งให้ศาลชั้นต้นสอบโจทก์เกี่ยวกับรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางหรือสืบพยานผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2059/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้แปรรูปในที่ดินเอกชน: จำเลยต้องพิสูจน์สิทธิเพื่ออ้างข้อยกเว้นความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีไม้ประดู่และไม้มะค่าโมงแปรรูปเป็นไม้หวงห้ามเกินกว่า 0.20 ลูกบาศก์เมตร โดยไม่เสียค่าภาคหลวงและโดยไม่รับอนุญาต จำเลยต่อสู้ว่าไม้แปรรูปของกลางเกิดในที่ดินของผู้มีชื่อจึงเป็นไม้ที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ มาตรา 48,50(4) แต่จำเลยนำสืบไม่ได้ความตามข้อต่อสู้ จำเลยจึงไม่พันผิด
ข้อเท็จจริงที่ว่าไม้ของกลางเกิดในที่ดินของผู้มีชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่นั้น เมื่อคู่ความนำสืบไว้แล้วแต่ศาลล่างมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยเองได้
โจทก์ได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยมาแต่อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องได้
ข้อเท็จจริงที่ว่าไม้ของกลางเกิดในที่ดินของผู้มีชื่อตามข้อต่อสู้ของจำเลยหรือไม่นั้น เมื่อคู่ความนำสืบไว้แล้วแต่ศาลล่างมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยเองได้
โจทก์ได้บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยมาแต่อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจปรับบทกฎหมายที่ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1547/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงเดิมตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น หากอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาแต่ประการใด ฉะนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์นั้นศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงใหม่โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์เลยนั้นจึงมิชอบและแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในเรื่องนี้มาก็ตาม แต่เมื่อเป็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างได้โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1547/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงเดิมตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากไม่ปฏิบัติตามฎีกายกคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย มิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาแต่ประการใด ฉะนั้น ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์นั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนดังที่บัญญัติไว้ ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงใหม่ โดยมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยอุทธรณ์เลยนั้นจึงมิชอบและแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาในเรื่องนี้ก็ตาม แต่เมื่อเป็นปัญหาเกี่ยวกับการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยอุทธรณ์ ศาลฎีกาก็ชอบที่จะยกขึ้นอ้างได้โดยพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาปัญหาข้อกฎหมายที่ จำเลยอุทธรณ์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี