คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 58

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 124 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่บุคคลเดิมและบุคคลที่ร้องสอดคดี ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำหากไม่ใช่คู่ความเดียวกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่บุตรเขยจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์บุตรเขยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทบุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้าต่อสู้คดีร่วมกับจำเลย ดังนี้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะจำเลยในคดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อนการที่บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเองไม่ทำให้ฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นฟ้องซ้ำส่วนคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอด ไม่ว่าบุตรเขยจำเลยจะมีอำนาจร้องสอดหรือไม่ คำพิพากษาคดีก่อนจะผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดเพียงใดหรือไม่และคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ศาลก็ย่อมพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปได้โดยไม่จำต้องแยกวินิจฉัยคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่ซ้ำกับคดีก่อน แม้จำเลยต่างกัน แต่มีประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกัน ศาลพิจารณาได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่บุตรเขยจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์. บุตรเขยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์. ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท. บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้าต่อสู้คดีร่วมกับจำเลย. ดังนี้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ.เพราะจำเลยในคดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อน. การที่บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเอง. ไม่ทำให้ฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นฟ้องซ้ำ. ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอด. ไม่ว่าบุตรเขยจำเลยจะมีอำนาจร้องสอดหรือไม่. คำพิพากษาคดีก่อนจะผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดเพียงใดหรือไม่. และคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่. ศาลก็ย่อมพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปได้โดยไม่จำต้องแยกวินิจฉัยคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินแปลงเดียวกัน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อนมีผลผูกพันคดีหลัง แม้ผู้ซื้อจะมิได้เป็นคู่ความเดิม
ที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินซึ่งโจทก์แพ้คดีจำเลยร่วมมาแล้ว แม้จำเลยในคดีนี้จะเป็นบุคคลนอกสัญญาซื้อขาย แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นสามีผู้ซื้อ ผลของการที่ผู้ซื้อได้สิทธิในที่ดินแปลงนี้ย่อมทำให้จำเลยได้รับในฐานะสามีผู้ซื้อเป็นเจ้าของร่วมด้วย เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกัน เท่ากับเป็นการรบกวนสิทธิอย่างหนึ่ง จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (3) ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านประการใด กรณีทำให้มีผลเกิดขึ้นว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดชอบผูกพันในผลแห่งคดีนี้ด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้นจำเลยร่วมจึงชอบที่จะอ้างสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นข้อต่อสู้โจทก์คดีนี้ได้ ไม่เป็นขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อแล้วต่างไม่ขอสืบพยาน โดยจำเลยอ้างสำนวนคดีแพ่งคดีก่อนประกอบ ดังนั้น การฟังข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิในที่พิพาทก็ต้องฟังตามข้อวินิจฉัยในำสำนวนคดีก่อนเป็นหลักการพิจารณาคดี เมื่อคดีก่อนศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทไม่ใช่ทีที่ ค. ครอบครองทำประโยชน์แล้วจำเลยร่วม (ซึ่งต่อมาขายที่พิพาทให้ภริยาจำเลย) เข้าขับจองทับเอา คดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้ ในการวินิจฉัยคดีนี้ก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดมาแล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินแปลงเดียวกันที่เคยมีข้อพิพาทถึงที่สุดแล้วย่อมมีผลผูกพันในคดีต่อมา
ที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินซึ่งโจทก์แพ้คดีจำเลยร่วมมาแล้ว แม้จำเลยในคดีนี้จะเป็นบุคคลนอกสัญญาซื้อขาย แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นสามีผู้ซื้อ ผลของการที่ผู้ซื้อได้สิทธิในที่ดินแปลงนี้ย่อมทำให้จำเลยได้รับในฐานะสามีผู้ซื้อเป็นเจ้าของร่วมด้วย เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกัน เท่ากับเป็นการรบกวนสิทธิอย่างหนึ่ง จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านประการใด กรณีทำให้มีผลเกิดขึ้นว่า จำเลยร่วมต้องรับผิดชอบผูกพันในผลแห่งคดีนี้ด้วยผู้หนึ่ง ดังนั้นจำเลยร่วมจึงชอบที่จะอ้างสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นข้อต่อสู้โจทก์คดีนี้ได้ไม่เป็นขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อแล้วต่างไม่ขอสืบพยานโดยจำเลยอ้างสำนวนคดีแพ่งคดีก่อนประกอบ ดังนั้น การฟังข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิในที่พิพาทก็ต้องฟังตามข้อวินิจฉัยในสำนวนคดีก่อนเป็นหลักการพิจารณาคดี เมื่อคดีก่อนศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ที่ ค. ครอบครองทำประโยชน์แล้ว จำเลยร่วม (ซึ่งต่อมาขายที่พิพาทให้ภริยาจำเลย) เข้าจับจองทับเอา คดีถึงที่สุดแล้ว เช่นนี้ ในการวินิจฉัยคดีนี้ก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดมาแล้ว โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดิน: ผลของคำพิพากษาคดีก่อน, การอ้างสิทธิจากคู่สมรส, และการพิจารณาตามสำนวนคดีเก่า
ที่ดินตามสัญญาซื้อขายเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินซึ่งโจทก์แพ้คดีจำเลยร่วมมาแล้ว. แม้จำเลยในคดีนี้จะเป็นบุคคลนอกสัญญาซื้อขาย. แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นสามีผู้ซื้อ. ผลของการที่ผู้ซื้อได้สิทธิในที่ดินแปลงนี้ย่อมทำให้จำเลยได้รับในฐานะสามีผู้ซื้อเป็นเจ้าของร่วมด้วย. เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกัน เท่ากับเป็นการรบกวนสิทธิอย่างหนึ่ง. จำเลยจึงขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3). ซึ่งโจทก์มิได้คัดค้านประการใด. กรณีทำให้มีผลเกิดขึ้นว่า.จำเลยร่วมต้องรับผิดชอบผูกพันในผลแห่งคดีนี้ด้วยผู้หนึ่ง.ดังนั้นจำเลยร่วมจึงชอบที่จะอ้างสิทธิต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ เป็นข้อต่อสู้โจทก์คดีนี้ได้. ไม่เป็นขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 477 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์.
โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงบางข้อแล้วต่างไม่ขอสืบพยาน. โดยจำเลยอ้างสำนวนคดีแพ่งคดีก่อนประกอบ. ดังนั้น การฟังข้อเท็จจริงในเรื่องสิทธิในที่พิพาทก็ต้องฟังตามข้อวินิจฉัยในสำนวนคดีก่อนเป็นหลักการพิจารณาคดี. เมื่อคดีก่อนศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ที่ ค. ครอบครองทำประโยชน์แล้ว.จำเลยร่วม (ซึ่งต่อมาขายที่พิพาทให้ภริยาจำเลย)เข้าจับจองทับเอา คดีถึงที่สุดแล้ว. เช่นนี้ ในการวินิจฉัยคดีนี้ก็ต้องยึดถือข้อเท็จจริงที่ศาลชี้ขาดมาแล้ว. โจทก์จึงต้องแพ้คดีจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ที่ดินพิพาทเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การฟ้องคดีซ้ำในประเด็นสิทธิเดิมย่อมเป็นฟ้องซ้ำที่ต้องห้าม
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของจำเลยร่วมชำระคดีโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์นำเรื่องที่ดินรายเดียวกันนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก แม้จะเป็นเพียงที่ส่วนหนึ่งและเปลี่ยนตัวจำเลยจากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยคดีนี้ ก็คงมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นของใครเท่านั้น กรณีเป็นเรื่องที่มีประเด็นซึ่งศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยเหตุอย่างเดียวกัน ซึ่งศาลชี้ขาดมาแล้วในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยร่วม จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยซ้ำในเรื่องสิทธิแห่งที่พิพาทอีก เพราะเป็นฟ้องซ้ำ และที่ดินรายนี้จำเลยขายให้ภริยาจำเลย ฐานะของจำเลยไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายที่แปลงนี้โดยตรงกับจำเลยร่วมก็จริงแต่จำเลยเป็นสามีของ ฟ. ภริยาจำเลยคู่สัญญาซื้อขายกับจำเลยร่วม ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในที่ดินแปลงนี้ด้วย ในคดีนี้จำเลยร่วมได้ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ทั้งจำเลยและจำเลยร่วมย่อมชอบที่จะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนเป็นข้อต่อสู้ได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีพิพาทที่ดิน: ศาลยกฟ้องเมื่อประเด็นสิทธิในที่ดินเคยถูกวินิจฉัยเด็ดขาดแล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของจำเลยร่วมชำระคดีโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์นำเรื่องที่ดินรายเดียวกันนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก แม้จะเป็นเพียงที่ส่วนหนึ่งและเปลี่ยนตัวจำเลยจากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยคดีนี้ ก็คงมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นของใครเท่านั้น กรณีเป็นเรื่องที่มีประเด็นซึ่งศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยเหตุอย่างเดียวกัน ซึ่งศาลชี้ขาดมาแล้วในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยร่วม จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยซ้ำในเรื่องสิทธิแห่งที่พิพาทอีกเพราะเป็นฟ้องซ้ำ และที่ดินรายนี้จำเลยขายให้ภริยาจำเลย ฐานะของจำเลยแม้จะไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายที่แปลงนี้โดยตรงกับจำเลยร่วมก็จริง แต่จำเลยเป็นสามีของ ฟ. ภริยาจำเลยคู่สัญญาซื้อขายกับจำเลยร่วม ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในที่แปลงนี้ด้วย ในคดีนี้จำเลยร่วมได้ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ทั้งจำเลยและจำเลยร่วมย่อมชอบที่จะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนเป็นข้อต่อสู้ได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ที่ดินพิพาทเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องซ้ำไม่ได้ แม้จำเลยเปลี่ยนไป
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของจำเลยร่วมชำระคดีโจทก์. คดีถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น การที่โจทก์นำเรื่องที่ดินรายเดียวกันนั้นมาฟ้องเป็นคดีนี้อีก แม้จะเป็นเพียงที่ส่วนหนึ่งและเปลี่ยนตัวจำเลยจากจำเลยร่วมมาเป็นจำเลยคดีนี้. ก็คงมีประเด็นเพียงว่าที่พิพาทในคดีนี้เป็นของใครเท่านั้น. กรณีเป็นเรื่องที่มีประเด็นซึ่งศาลได้วินิจฉัยมาแล้วโดยเหตุอย่างเดียวกัน. ซึ่งศาลชี้ขาดมาแล้วในสิทธิของที่พิพาทว่าเป็นของจำเลยร่วม. จึงไม่มีประเด็นจะต้องวินิจฉัยซ้ำในเรื่องสิทธิแห่งที่พิพาทอีก.เพราะเป็นฟ้องซ้ำ. และที่ดินรายนี้จำเลยขายให้ภริยาจำเลย. ฐานะของจำเลยแม้จะไม่ใช่คู่สัญญาซื้อขายที่แปลงนี้โดยตรงกับจำเลยร่วมก็จริง.แต่จำเลยเป็นสามีของ ฟ. ภริยาจำเลยคู่สัญญาซื้อขายกับจำเลยร่วม ก็มีสิทธิเป็นเจ้าของร่วมในที่แปลงนี้ด้วย. ในคดีนี้จำเลยร่วมได้ถูกเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ทั้งจำเลยและจำเลยร่วมย่อมชอบที่จะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนเป็นข้อต่อสู้ได้โดยชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้ร้องสอดในคดีขับไล่: การบังคับรื้อถอนเมื่ออ้างสิทธิแต่พิสูจน์ไม่ได้
ผู้ร้องสอดที่เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และ (3) มีสิทธิ์เสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ อาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ผู้ร้องสอดเข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องสอด แต่ผู้ร้องสอดนำสืบไม่สม ผู้ร้องสอดจึงต้องรับผิดตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องสอดเข้ายึดถือที่พิพาทโดยปราศจากสิทธิ์ใด ๆ อันจะพึงอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องสอดจึงต้องถูกบังคับให้รื้อถอนไป หาเป็นการบังคับคดีนอกฟ้องหรือเกินคำขอไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้ร้องสอดในการต่อสู้คดี และขอบเขตการบังคับรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างเมื่ออ้างสิทธิในที่ดินแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
ผู้ร้องสอดที่เข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และ(3) มีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ อาจได้รับหรือถูกบังคับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท ผู้ร้องสอดเข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นของผู้ร้องสอด แต่ผู้ร้องสอดนำสืบไม่สม ผู้ร้องสอดจึงต้องรับผิดตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องสอดเข้ายึดถือที่พิพาทโดยปราศจากสิทธิใด ๆ อันจะพึงอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมายผู้ร้องสอดจึงต้องถูกบังคับให้รื้อถอนไป หาเป็นการบังคับคดีนอกฟ้องหรือเกินคำขอไม่
of 13