พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,624 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2812/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่ไม่ชัดเจนข้อหาฝ่าฝืนมาตรา 26 พ.ร.บ.เลือกตั้งฯ ศาลยกคำร้อง
ปัญหาว่า คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การคัดค้านการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่ง มาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ ได้จำกัดประเภทของบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านไว้ ได้แก่ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร และพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ในกรณีที่เห็นว่าการเลือกตั้งหรือการที่บุคคลใดได้รับการเลือกตั้ง เป็นไปโดยมิชอบ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26, 32, 34, 51 หรือมาตรา 52 ด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 26 บัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเข้าสมัครรับเลือกตั้งและการฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 84 คำร้องของผู้ร้องมีใจความสำคัญเพียงว่า ในวันยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ผู้สมัครยังดำรงตำแหน่งกำนันตำบลอิสาณและนายทะเบียนตำบลอิสาณ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 96(7) ที่ว่าเป็นพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ขอให้มีคำสั่งว่าการได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น คำร้องมิได้แสดงโดยแจ้งชัดแห่งข้อหาว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบนั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 78 อย่างไร กล่าวคือมิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รู้แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเป็นบุคคลต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 96(7) แล้วยังเข้าสมัครรับเลือกตั้งอีก ฉะนั้น คำร้องของผู้ร้องซึ่งบรรยายอ้างถึงแต่คุณสมบัติของบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างเดียว จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 78 ไม่มีเหตุที่จะรับไว้เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
การคัดค้านการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่ง มาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ ได้จำกัดประเภทของบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านไว้ ได้แก่ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร และพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ในกรณีที่เห็นว่าการเลือกตั้งหรือการที่บุคคลใดได้รับการเลือกตั้ง เป็นไปโดยมิชอบ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26, 32, 34, 51 หรือมาตรา 52 ด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 26 บัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเข้าสมัครรับเลือกตั้งและการฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 84 คำร้องของผู้ร้องมีใจความสำคัญเพียงว่า ในวันยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ผู้สมัครยังดำรงตำแหน่งกำนันตำบลอิสาณและนายทะเบียนตำบลอิสาณ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 96(7) ที่ว่าเป็นพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ขอให้มีคำสั่งว่าการได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบและสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น คำร้องมิได้แสดงโดยแจ้งชัดแห่งข้อหาว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบนั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 78 อย่างไร กล่าวคือมิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รู้แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพราะเป็นบุคคลต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 96(7) แล้วยังเข้าสมัครรับเลือกตั้งอีก ฉะนั้น คำร้องของผู้ร้องซึ่งบรรยายอ้างถึงแต่คุณสมบัติของบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างเดียว จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 78 ไม่มีเหตุที่จะรับไว้เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2812/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่ไม่ชัดเจนข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง ทำให้ศาลไม่รับพิจารณา
ปัญหาว่า คำร้องของผู้ร้องชอบด้วยมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การคัดค้านการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ ได้จำกัดประเภทของบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านไว้ ได้แก่ ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร และพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ในกรณีที่เห็นว่าการเลือกตั้งหรือการที่บุคคลใดได้รับการเลือกตั้ง เป็นไปโดยมิชอบ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26,32,34,51 หรือมาตรา 52 ด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 26 บัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเข้าสมัครรับเลือกตั้งและการฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 84 คำร้องของผู้ร้องมีใจความสำคัญเพียงว่า ในวันยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ผู้สมัครยังดำรงตำแหน่งกำนันตำบลอิสาณและนายทะเบียนตำบลอิสาณ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 96(7) ที่ว่าเป็นพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ขอให้มีคำสั่งว่าการได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบ และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น คำร้องมิได้แสดงโดยแจ้งชัดแห่งข้อหาว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบ นั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 78 อย่างไร กล่าวคือมิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รู้แล้ว ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพราะเป็นบุคคลต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา 96(7) แล้วยังเข้าสมัครรับเลือกตั้งอีก ฉะนั้นคำร้องของผู้ร้องซึ่งบรรยายอ้างถึงแต่คุณสมบัติของบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างเดียว จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 78 ไม่มีเหตุที่จะรับไว้เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
การคัดค้านการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ ได้จำกัดประเภทของบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านไว้ ได้แก่ ผู้เลือกตั้ง ผู้สมัคร และพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น โดยให้มีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลภายในระยะเวลาที่กำหนด ทั้งนี้ในกรณีที่เห็นว่าการเลือกตั้งหรือการที่บุคคลใดได้รับการเลือกตั้ง เป็นไปโดยมิชอบ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26,32,34,51 หรือมาตรา 52 ด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ มาตรา 26 บัญญัติว่าห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเข้าสมัครรับเลือกตั้งและการฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 84 คำร้องของผู้ร้องมีใจความสำคัญเพียงว่า ในวันยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งผู้คัดค้านที่ 1 ผู้สมัครยังดำรงตำแหน่งกำนันตำบลอิสาณและนายทะเบียนตำบลอิสาณ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 96(7) ที่ว่าเป็นพนักงานของหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ขอให้มีคำสั่งว่าการได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบ และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่เท่านั้น คำร้องมิได้แสดงโดยแจ้งชัดแห่งข้อหาว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้รับการเลือกตั้งเป็นไปโดยมิชอบ นั้นเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 26 ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 78 อย่างไร กล่าวคือมิได้บรรยายข้อเท็จจริงว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้รู้แล้ว ว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพราะเป็นบุคคลต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญฯมาตรา 96(7) แล้วยังเข้าสมัครรับเลือกตั้งอีก ฉะนั้นคำร้องของผู้ร้องซึ่งบรรยายอ้างถึงแต่คุณสมบัติของบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างเดียว จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วย มาตรา 78 ไม่มีเหตุที่จะรับไว้เพื่อพิจารณาวินิจฉัย ชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงซื้อคืนที่ดินหลังขายฝาก: โมฆะเพราะขัดมาตรา 496 (ขยายเวลาไถ่)
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยในราคา 70,000 บาท กำหนดไถ่คืนใน 1 ปี ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนโจทก์กับจำเลยตกลงกันว่า ถ้าที่ดินหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว หากโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่จำเลย จำเลยยอมให้โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวคืนในราคา 70,000 บาท โจทก์ได้ชำระดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วแต่จำเลยไม่ยอมให้ซื้อที่ดินคืน ดังนี้ แม้จะจริงดังที่โจทก์อ้าง ข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นโมฆะ เพราะเท่ากับเป็นการขยายไถ่ทรัพย์สิน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ขายที่ดินคืนแก่โจทก์ตามข้อตกลงนั้น
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลเห็นสมควรก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อศาลเห็นสมควรก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงซื้อคืนที่ดินหลังสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ หากขัดต่อกฎหมายขยายเวลาไถ่ทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยในราคา 70,000 บาท กำหนดไถ่คืนใน 1 ปี ก่อนครบกำหนดไถ่ถอนโจทก์กับจำเลยตกลงกันว่า ถ้าที่ดินหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยแล้ว หากโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่จำเลยจำเลยยอมให้โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวคืนในราคา 70,000 บาท โจทก์ได้ชำระดอกเบี้ยให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมให้ซื้อที่ดินคืน ดังนี้ แม้จะจริงดังที่โจทก์อ้างข้อตกลงดังกล่าวก็เป็นโมฆะ เพราะเท่ากับเป็นการขยายเวลาไถ่ทรัพย์สิน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 496 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้ขายที่ดินคืนแก่โจทก์ตามข้อตกลงนั้น
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควรก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลเห็นสมควรก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนที่ดินสินสมรสโดยไม่มีค่าตอบแทนและการยินยอมของคู่สมรสในคดีล้มละลาย
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของลูกหนี้ (จำเลยในคดีล้มละลาย) มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่ตนซื้อมาระหว่างสมรสไปจำนองเอาเงินมาสร้างตึกแถวบนที่ดิน ต่อมานำเงินอันเป็นสินส่วนตัวไปไถ่จำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 โดยลูกหนี้รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่าง 3 ปีก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ดังนี้ หนี้จำนองนั้นเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ 1 กับลูกหนี้ การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้เงินสินส่วนตัวชำระหนี้นั้น เป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เงินไถ่จำนองไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดิน การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2, 3, 4 เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน และเป็นกรณีที่ลูกหนี้ยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอนศาลย่อมสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้ มิฉะนั้นก็ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2204/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินในคดีล้มละลาย: การโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนและเจตนายินยอม
ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นภริยาของลูกหนี้ (จำเลยในคดีล้มละลาย) มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ ผู้คัดค้านที่ 1 นำที่ดินที่ตนซื้อมาระหว่างสมรสไปจำนองเอาเงินมาสร้างตึกแถวบนที่ดินต่อมานำเงินอันเป็นสินส่วนตัวไปไถ่จำนอง แล้วจดทะเบียนยกที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นให้ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 โดยลูกหนี้รู้เห็นยินยอม และเป็นการโอนในระหว่าง 3 ปี ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลายดังนี้หนี้จำนองนั้นเป็นหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินบริคณห์ถือได้ว่าเป็นหนี้ร่วมของผู้คัดค้านที่ 1 กับลูกหนี้การที่ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้เงินสินส่วนตัวชำระหนี้นั้น เป็นคนละส่วนกับการโอนที่ดินให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 เงินไถ่จำนองไม่ใช่ค่าตอบแทนในการโอนที่ดิน การโอนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้คัดค้านที่ 2,3,4 เป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนและเป็นกรณีที่ลูกหนี้ยอมให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการโอนที่ดินในส่วนของตนอันจำต้องเพิกถอนศาลย่อมสั่งให้เพิกถอนสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนของลูกหนี้มิฉะนั้นก็ให้ผู้คัดค้านที่ 1 ใช้ราคา
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ปัญหาว่านิติกรรมยกให้เป็นนิติกรรมอำพราง มิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการยินยอมให้ลงวันที่เช็ค
ปัญหาเรื่องการแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความ สงบเรียบร้อยาของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่าโจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแปลงหนี้จากเช็คเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และการยินยอมให้ลงวันที่เช็ค
ปัญหาเรื่องการแปลงหนี้จากเช็คเป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ใช่ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยไม่ยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้ง จึงไม่เป็นประเด็นในคดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยออกเช็คพิพาทมอบให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ แม้จำเลยจะไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายในเช็ค แต่ก็เป็นเช็คที่จำเลยออกชำระหนี้ ย่อมถือได้โดยปริยายว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายได้เอง เมื่อไม่ได้ความว่า โจทก์ลงวันที่สั่งจ่ายโดยไม่สุจริต จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย หากปิดแสตมป์แต่ไม่ขีดฆ่า ทำให้ใช้เป็นหลักฐานในศาลไม่ได้
สัญญากู้ที่โจทก์ส่งศาลปิดอากรแสตมป์แล้ว แต่ไม่ขีดฆ่าอากรแสดตมป์นั้น ถือว่าสัญญากู้ไม่ปิดแสตมป็บริบูรณ์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 103 ข้อ 1 และไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามมาตรา 118 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1400/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ไม่สมบูรณ์หากปิดแสตมป์แต่ไม่ขีดฆ่า ทำให้ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้
สัญญากู้ที่โจทก์ส่งศาลปิดอากรแสตมป์แล้ว แต่ไม่ขีดฆ่าอากรแสตมป์นั้น ถือว่าสัญญากู้ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 103 ข้อ 1 และไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้ตามมาตรา 118 ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้