พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,624 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของวัดต่อการกระทำของเจ้าอาวาส กรณีซ่อมแซมถนนสาธารณะ การกระทำนอกหน้าที่ไม่มีผลผูกพันวัด
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 37 (1) บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด จัดกิจการของวัด และจัดศาสนาสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดจำเลยที่ 2 ดำเนินการจ้างรถแทร็กเตอร์ไถดินทำถนนและซ่อมแซมถนนซึ่งเป็นถนนสาธารณประโยชน์ มิใช่สมบัติของวัด ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 เมื่อการใช้รถแทร็กเตอร์ไถดินนั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะที่ดินที่ถูกไดเอาดินไปเป็นที่ดินของโจทก์ และโจทก์มิได้ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้ แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิด ย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของวัดต่อการกระทำของเจ้าอาวาส กรณีซ่อมแซมถนนสาธารณะ การกระทำนอกหน้าที่ไม่มีผลผูกพัน
พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 37(1) บัญญัติให้เจ้าอาวาสมีหน้าที่เกี่ยวกับการจัดบำรุงรักษาวัด จัดกิจการของวัด และจัดศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัด จำเลยที่ 2 ดำเนินการจ้างรถแทร็กเตอร์ไถดินทำถนนและซ่อมแซมถนนซึ่งเป็นถนนสาธารณประโยชน์ มิใช่สมบัติของวัดถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 2 เมื่อการใช้รถแทร็กเตอร์ไถดินนั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เพราะที่ดินที่ถูกไถเอาดินไปเป็นที่ดินของโจทก์ และโจทก์มิได้ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิดย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ปัญหาที่กล่าวในวรรคก่อน จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นให้การต่อสู้ไว้แต่จำเลยที่ 2 เป็นวัดในพระพุทธศาสนา การที่จะให้วัดต้องร่วมรับผิดโดยไม่มีความผิดย่อมฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้จดทะเบียน: ไม่ใช่โมฆะ หากมีเจตนาทำสัญญาและดำเนินการจดทะเบียน
ฎีกาที่ว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นโมฆะเสียเปล่า จะฟ้องร้องบังคับมิได้นั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมิได้ยกขึ้นว่าในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด 3 เดือน จำเลยผิดสัญญาไม่ไปจัดการจดทะเบียนให้ตามกำหนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปจัดการจดทะเบียน ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยหาตกเป็นโมฆะไม่ เพราะอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สมบูรณ์
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด 3 เดือน จำเลยผิดสัญญาไม่ไปจัดการจดทะเบียนให้ตามกำหนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปจัดการจดทะเบียน ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยหาตกเป็นโมฆะไม่ เพราะอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่จดทะเบียน: สัญญาไม่เป็นโมฆะหากมีการดำเนินการจดทะเบียน
ฎีกาที่ว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เป็นโมฆะเสียเปล่า จะฟ้องร้องบังคับมิได้นั้น เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นว่าในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีการับวินิจฉัยให้
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด 3 เดือน จำเลยผิดสัญญาไม่ไปจัดการจดทะเบียนให้ตามกำหนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปจัดการจดทะเบียน ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยหาตกเป็นโมฆะไม่ เพราะอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สมบูรณ์
โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยจะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนด 3 เดือน จำเลยผิดสัญญาไม่ไปจัดการจดทะเบียนให้ตามกำหนด โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ไปจัดการจดทะเบียน ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยหาตกเป็นโมฆะไม่ เพราะอยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้สมบูรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อนในคดีขับไล่: เจ้าของรวมฟ้องคดีเดียวกันซ้ำ
โจทก์กับ ส.ท.ภ. และ ล. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ส. ครบกำหนดแล้ว ส.ฟ้องขับไล่จำเลย ดังนี้ เป็นเรื่องที่ ส.เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356, 1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือเจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องไห้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคน จึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทน เมื่อ ส.ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้ว และคดีอยู่ระหว่างพิจารณา โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีที่ ส.ฟ้องนั้นอีก จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนนี้ จำเลยมิได้ฎีกา แต่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: เจ้าของรวมฟ้องขับไล่จำเลยเรื่องเดียวกันซ้ำ ศาลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์กับ ส.ท.ภ. และ ล. มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกัน จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจาก ส.ครบกำหนดแล้วส. ฟ้องขับไล่จำเลยดังนี้ เป็นเรื่องที่ ส. เจ้าของรวมคนหนึ่งใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์เรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนจากจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1356,1359 ประกอบด้วยมาตรา 302 กล่าวคือเจ้าของรวมแต่ละคนมีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนโดยไม่จำต้องให้เจ้าของรวมทุกคนร่วมกันฟ้อง และจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของรวมหมดทุกคน จึงเท่ากับเป็นการฟ้องคดีแทนเมื่อ ส. ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่เช่าแล้วและคดีอยู่ระหว่างพิจารณาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินเช่นเดียวกับคดีที่ ส. ฟ้องนั้นอีกจึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (ปัญหาเรื่องฟ้องซ้อนนี้ จำเลยมิได้ฎีกา แต่ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเอง)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องผู้จัดการมรดก: ต้องพิสูจน์สถานะผู้จัดการมรดกก่อนฟ้องเพิกถอนนิติกรรม
โจทก์ฟ้องว่า ผ. เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์กำลังจัดการมรดกอยู่เมื่อ ผ. ยังมีชีวิตอยู่นั้นจำเลยได้ฉ้อฉล ผ. ให้ ผ. ยกที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให้นั้นจำเลยให้การปฏิเสธพินัยกรรมท้ายฟ้องและว่าถ้า ผ. ได้ทำพินัยกรรมนั้นจริงก็ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้วโจทก์มิได้เป็นทายาทและผู้จัดการมรดก ผ.ยกทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยโดยชอบด้วยใจสมัคร และโจทก์ขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกตามคดีดำที่ 6368/2516 ซึ่งยังพิพาทกันอยู่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1712 เจ้ามรดกมีสิทธิที่ตั้งผู้จัดการมรดกได้แต่เรื่องนี้ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างจะเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่เจ้ามรดกได้ระบุไว้ในพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกจริงหรือไม่โจทก์มีข้อเสื่อมเสียประการใดและมีพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนการตั้งผู้จัดการมรดกที่โจทก์อ้างหรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไปเพื่อที่จะได้ทราบชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ว่าศาลจะมีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เองแต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีศาลก็ควรจะได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ถ่องแท้เสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ แม้คดีหมายเลขดำที่ 6268/2516 นั้นคณะผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาเป็นคณะเดียวกับคดีนี้ แต่ก็เป็นคนละคดีกันและมิได้รวมพิจารณาจะนำข้อเท็จจริงในคดีหนึ่งมาใช้กับอีกคดีหนึ่งหาได้ไม่เมื่อโจทก์มิได้แถลงรับในข้อนี้ก็จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีเพิกถอนนิติกรรมและการพิสูจน์สถานะผู้จัดการมรดก จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงก่อน
โจทก์ฟ้องว่า ผ.เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดก โจทก์กำลังจัดการมรดกอยู่ เมื่อ ผ.ยังมีชีวิตอยู่นั้นจำเลยได้ฉ้อฉล ผ. ให้ ผ.ยกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมยกให้นั้น จำเลยให้การปฏิเสธพินัยกรรมท้ายฟ้องและว่าถ้า ผ.ได้ทำพินัยกรรมนั้นจริง ก็ถูกเพิกถอนโดยพินัยกรรมฉบับหลังแล้ว โจทก์มิได้เป็นทายาทและผู้จัดการมรดก ผ.ยกทรัพย์ดังกล่าวให้จำเลยโดยชอบด้วยใจสมัคร และโจทก์ขอให้ศาลตั้งเป็นผู้จัดการมรดกตามคดีดำที่ 6368/2516 ซึ่งยังพิพาทกันอยู่ ยังไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดก เมื่อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1712 เจ้ามรดกมีสิทธิที่ตั้งผู้จัดการมรดกได้แต่เรื่องนี้ยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่า พินัยกรรมที่โจทก์อ้างจะเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องแท้จริงหรือไม่เจ้ามรดกได้ระบุไว้ในพินัยกรรมตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกจริงหรือไม่ โจทก์มีข้อเสื่อมเสียประการใดและมีพินัยกรรมฉบับหลังเพิกถอนการตั้งผู้จัดการมรดกที่โจทก์อ้างหรือไม่ เหล่านี้เป็นข้อที่จะต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไปเพื่อที่จะได้ทราบชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้ว่าศาลจะมีอำนาจหยิบยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เอง แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีศาลก็ควรจะได้ฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวให้ถ่องแท้เสียก่อนจึงจะวินิจฉัยได้ แม้คดีหมายเลขดำที่ 6268/2516 นั้น คณะผู้พิพากษาผู้นั่งพิจารณาเป็นคณะเดียวกับคดีนี้ แต่ก็เป็นคนละคดีกันและมิได้รวมพิจารณาจะนำข้อเท็จจริงในคดีหนึ่งมาใช้กับอีกคดีหนึ่งหาได้ไม่ เมื่อโจทก์มิได้แถลงรับในข้อนี้ก็จะต้องฟังข้อเท็จจริงต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษี: การประเมินภาษีถูกต้องและโจทก์ไม่เคยอุทธรณ์ ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยเรียกเก็บภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากรซึ่งจำเลยมีสิทธิประเมินได้ มิใช่ไม่มีมูลจะอ้างได้ตามกฎหมายโจทก์อ้างว่าจำต้องเสียเงินเพราะจำเลยไม่ยอมปล่อยของจากศุลกากรไม่ได้ โจทก์ไม่อุทธรณ์การประเมินก่อนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะไม่ยกขึ้นต่อสู้ ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเพิกถอนสัญญาเนื่องจากสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้