คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 142 (5)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,624 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาทำเหมืองแร่, การผิดสัญญา, การกระทำโดยตัวแทน, ความรับผิดร่วมกัน, ค่าเสียหาย
โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลออกมายอายัดเงินหรือสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่จะได้รับชำระจากลูกหนี้ของจำเลยในคดีอื่นตามกฎหมาย การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทำการอายัดเงินของลูกหนี้จำเลย โดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 300 ,301 จะมีผลเป็นคำสั่งอายัดที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นั้น เมื่อลูกหนี้ของจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านข้อนี้ ทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ประการใด จึงไม่มีประเด็นที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นโทษแก่โจทก์ผู้ยื่นคำขอให้ศาลออกหมายอายัด เพราะเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแห่งคำฟ้องอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อกฎหมายความสงบเรียบร้อยต้องได้จากกระบวนพิจารณาชอบ ศาลมิอาจวินิจฉัยจากพยานนอกประเด็น
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้ โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็น ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามบทมาตราดังกล่าวมิได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2492)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยละเมิด ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่า ในการยึดที่ดินนั้น เจ้าพนักงานที่ดินมิได้นำเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาด้วย ถึงหากจะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 อันเป็นบทกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดจะต้องนำสืบ เพราะไม่มีใครกล่าวอ้าง ย่อมเป็นข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) หาได้ไม่
โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้มีการยึดไว้โดยชอบแล้ว หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่ ผู้ซื้อที่ดินที่ถูกยึดโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ไม่จำต้องคืนที่ดินให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์และขายทอดตลาด: ศาลฎีกาเน้นข้อเท็จจริงจากการสืบพยานที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้องเท่านั้น มิอาจวินิจฉัยจากข้อเท็จจริงนอกประเด็น
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้.โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น. จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็น.ไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง. ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามบทมาตราดังกล่าวมิได้.เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา. ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2492).
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยละเมิด. ดังนี้ข้อเท็จจริงที่ว่า ในการยึดที่ดินนั้น เจ้าพนักงานที่ดินมิได้นำเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาด้วย. ถึงหากจะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304. อันเป็นบทกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดจะต้องนำสืบ เพราะไม่มีใครกล่าวอ้าง. ย่อมเป็นข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87. ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) หาได้ไม่.
โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้มีการยึดไว้โดยชอบแล้ว หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่. ผู้ซื้อที่ดินที่ถูกยึดโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล ไม่จำต้องคืนที่ดินให้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อกฎหมายสงบเรียบร้อยต้องมาจากกระบวนการพิจารณาชอบ ศาลรับฟังพยานนอกประเด็นไม่ได้
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 (5) นั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนการพิจารณาโดยชอบ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบ หรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามบทมาตราดังกล่าวมิได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2492)
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์มาขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยละเมิด ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่า ในการยึดที่ดินนั้น เจ้าพนักงานที่ดินมิได้นำเอาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) หนังสือสำคัญสำหรับที่ดินมาด้วย ถึงหากจะเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 อันเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดจะต้องนำสืบ เพราะไม่มีใครกล่าวอ้าง ย่อมเป็นข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกประเด็น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) หาได้ไม่
โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้มีการยึดไว้โดยชอบแล้ว หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่ ผู้ซื้อที่ดินที่ถูกยึดโดยสุจริตในการขาดทอดตลาดตามคำสั่งศาล ไม่จำต้องคืนที่ดินให้แก่โจทก์ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 - 19/121 แล้วขอถอน)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313-1319/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นอำนาจของนายอำเภอ เทศบาลไม่มีอำนาจฟ้อง
อำนาจที่จะดูแลรักษาทีสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันหรือนัยหนึ่งที่สาธารณประโยชน์ เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 มาตรา 40 วรรค 3 อำนาจฟ้องคดีจึงตกอยุ่แก่นายอำเภอ
ความในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 หมายถึงที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นให้เป็นอำนาจของอธิบดีที่จะดูแลรักษา และดำเนินการคุ้มครองป้องกัน และให้รัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้ทะบวงการใดเป็นฝู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้นได้ แต่ในเรื่องที่สาธารณประโยชน์อันเป็นของกลางสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เช่น ที่ชายตลิ่งซึ่งราษฎรทั่วไปใช้จอดเรือขึ้นสู่ถนน ได้มีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 122 บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นแล้ว คือ ให้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอ และต่อมาได้โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 มาตรา 40 วรรค 3 จึงเห็นได้ว่าประมวลกฎหมายที่ดินมิได้ยกเลิกเพิกถอนอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอซึ่งมีอยู่ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มอบหมายให้เทศบาลมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินทั้งหลาย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือทรัพย์สินของแผ่นดิน ภายในเขตเทศบาล จึงหาได้เคลือบคลุมไปถึงที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามที่เป็นอำนาจหน้าที่ดูแลจัดการของนายอำเภออยู่แล้วไม่
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะไม่ให้การต่อสู้ไว้แต่แรก ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) (อ้างฎีกาที่ 153/2498, 1277/2503, 227-229/2504)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313-1319/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันเป็นอำนาจของนายอำเภอ ไม่ใช่เทศบาล
อำนาจที่จะดูแลรักษาที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันหรือนัยหนึ่งที่สาธารณประโยชน์ เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 วรรคสาม อำนาจฟ้องคดีจึงตกอยู่แก่นายอำเภอ
ความในประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 8 หมายถึง ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดินโดยทั่ว ๆ ไป ซึ่งถ้าไม่มีกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นให้เป็นอำนาจของอธิบดีที่จะดูแลรักษา และดำเนินการคุ้มครองป้องกัน และให้รัฐมนตรีมีอำนาจมอบหมายให้ทบวงการใดเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้นได้แต่ในเรื่องที่สาธารณประโยชน์อันเป็นของกลางสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันเช่น ที่ชายตลิ่งซึ่งราษฎรทั่วไปใช้จอดเรือขึ้นสู่ถนนได้มีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 122 บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นแล้วคือให้เป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอ และต่อมาได้โอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 วรรคสาม จึงเห็นได้ว่าประมวลกฎหมายที่ดินมิได้ยกเลิกเพิกถอนอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอซึ่งมีอยู่ตามมาตรา 122 แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 ประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่มอบหมายให้เทศบาลมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินทั้งหลาย อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน ภายในเขตเทศบาลจึงหาได้ครอบคลุมไปถึงที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตามที่เป็นอำนาจหน้าที่ดูแลจัดการของนายอำเภออยู่แล้วไม่
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยจะไม่ให้การต่อสู้ไว้แต่แรก ศาลก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) (อ้างฎีกาที่ 153/2498, 1277/2503, 227-229/2504)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้อง, ตัวแทน, สัญญาเช่า, การนำสืบพยาน, ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำให้การของจำเลยกล่าวว่า โจทก์เป็นเพียงตัวแทนของนางอึ้งโจทก์ร่วมในการทำสัญญาเช่าต่อการรถไฟ และเป็นตัวแทนในการปลูกสร้างตึกพิพาท และตอนท้ายกล่าวว่าเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโจทก์เป็นผู้อาศัยหรือลูกจ้างของนางอึ้ง คำให้การทั้งสองตอนนี้ไม่ขัดกันเพราะเป็นเพียงแต่แสดงว่านอกจากที่โจทก์เป็นตัวแทนแล้ว ยังเป็นที่รู้กันว่าโจทก์ยังเป็นคนที่อาศัยหรือลูกจ้างของโจทก์ร่วมด้วย คำให้การของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)เมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องตัวแทน: ศาลวินิจฉัยได้แม้ไม่ยกขึ้นเอง, คำให้การจำเลยไม่เคลือบคลุม
คำให้การของจำเลยกล่าวว่า โจทก์เป็นเพียงตัวแทนของนางอึ้งโจทก์ร่วมในการทำสัญญาเช่าต่อการรถไฟ และเป็นตัวแทนในการปลูกสร้างตึกพิพาท และตอนท้ายกล่าวว่าเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าโจทก์เป็นผู้อาศัยหรือลูกจ้างของนางอึ้ง คำให้การทั้งสองตอนนี้ไม่ขัดกันเพราะเป็นเพียงแต่แสดงว่านอกจากที่โจทก์เป็นตัวแทนแล้ว ยังเป็นที่รู้กันว่าโจทก์ยังเป็นคนที่อาศัยหรือลูกจ้างของโจทก์ร่วมด้วย คำให้การของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) เมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้
เมื่อได้วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการอนุญาตถอนฟ้องและการดำเนินคดีกับจำเลยร่วม
เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยและจำเลยร่วมแล้วแม้จำเลยและจำเลยร่วมจะคัดค้านไม่ยอมให้ถอนแต่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของศาลในการที่จะพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร เพราะศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 175 วรรค 2
ในคดีที่ศาลอาจยกข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างเพื่อวินิจฉัย แล้วพิพากษาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น เป็นเรื่องที่แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรจะยกขึ้นหรือไม่ก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจศาลในการอนุญาตถอนฟ้อง และการดำเนินคดีกับจำเลยร่วม
เมื่อโจทก์ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นได้สอบถามจำเลยและจำเลยร่วมแล้วแม้จำเลยและจำเลยร่วมจะคัดค้านไม่ยอมให้ถอน แต่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของศาลในการที่จะพิจารณาสั่งตามที่เห็นสมควร เพราะศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่เห็นสมควรก็ได้ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 175 วรรคสอง
ในคดีที่ศาลอาจยกข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างเพื่อวินิจฉัย แล้วพิพากษาคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น เป็นเรื่องที่แล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรจะยกขึ้นหรือไม่ก็ได้
of 463