พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,624 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสิทธิการเช่าและการไม่มีอำนาจฟ้องคดีขับไล่
คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษา คือให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่าง อ.กับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วม และไม่มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ โจทก์ร่วมและโจทก์ยังไม่มีสิทธิอย่างใดในตึกแถวพิพาทโจทก์ร่วมและโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่และโมฆะสัญญาซื้อขายที่ดินนิคมฯ ผู้ขายโอนไม่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราปีละ 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป แต่โจทก์ก็มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ด้วยก็ตามแต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้สมาชิกของนิคมหรือทายาทผู้รับมรดกโอนไปยังบุคคลภายนอกตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การที่ผู้รับมรดกที่ดินพิพาทโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม แม้จะมอบการครอบครองในระยะเวลาห้ามโอนผลก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ห้ามโอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเข้าไปหาประโยชน์ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ด้วยก็ตามแต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้สมาชิกของนิคมหรือทายาทผู้รับมรดกโอนไปยังบุคคลภายนอกตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การที่ผู้รับมรดกที่ดินพิพาทโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม แม้จะมอบการครอบครองในระยะเวลาห้ามโอนผลก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ห้ามโอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเข้าไปหาประโยชน์ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินนิคมสร้างตนเองก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนละ5,000บาทแม้มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ200,000บาทนับถัดจากวันฟ้องก็เป็นการเรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่มิได้เรียกร้องมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่นจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องนี้ไว้ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเองจัดสรรให้ ฉ.ทำกินจะโอนไปยังบุคคลภายนอกได้ต้องเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแล้วและต้องให้เลยเวลาห้าปีนับแต่วันที่ได้รับเอกสารนั้นก่อนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มาตรา12,15การที่ ล.ภริยาผู้รับมรดกของ ฉ.ซึ่งถึงแก่ความตายโอนขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งยังไม่มีเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นการฝ่าฝืนต่อข้อห้ามตามกฎหมายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113เดิมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปหาประโยชน์ยึดถือหรือครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5200/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมยังไม่สิ้นสุด แม้เจ้าของสามยทรัพย์มีทางออกอื่น เหตุผลคือภารจำยอมยังใช้ประโยชน์ได้ และกฎหมายมุ่งประโยชน์อสังหาริมทรัพย์
ปัญหาว่าจำเลยมิได้ละทิ้งที่จะใช้ประโยชน์ในทางภารจำยอมในที่ดินของโจทก์เป็นเวลา10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1399ทางภารจำยอมจึงยังคงมีผลใช้บังคับอยู่นั้นเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองและเท่ากับเป็นกรณีที่ศาลยกขึ้นวินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนว่ามิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยละทิ้งที่จะใช้ประโยชน์ทางภารจำยอมจึงยังคงมีอยู่อันเป็นการวินิจฉัยประกอบกับข้ออุทธรณ์ของโจทก์ที่อ้างว่าทางภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามมาตรา1400จึงหาเป็นการนอกประเด็นไม่ ภารจำยอมนั้นกฎหมายมุ่งถึงประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์เป็นข้อสำคัญคำว่าหมดประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1400หมายความว่าไม่สามารถจะใช้ประโยชน์ต่อไปได้ขณะหนึ่งหากกลับใช้ภารจำยอมได้เมื่อใดภารจำยอมก็กลับมีขึ้นมาอีกแต่ต้องยังไม่พ้นอายุความตามมาตรา1399เมื่อทางภารจำยอมยังมีสภาพเป็นทางซึ่งเจ้าของสามยทรัพย์จะใช้เมื่อใดก็ได้การที่จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงอื่นและมีสิทธิผ่านที่ดินนั้นเข้าออกทางสาธารณะได้ไม่มีผลกระทบถึงทางภารจำยอมทางภารจำยอมจึงยังไม่สิ้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในคดีล้มละลาย: ศาลล้มละลายมีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ
ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
จำเลยร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่มีคำสั่งไม่เข้าดำเนินคดีร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยตามคำขอของจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 146แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งยืนตามกลับหรือแก้ไขหรือสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรได้ คดีตามคำร้องของจำเลยเป็นสาขาคดีหนึ่งของกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลาย ที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลในคดีส่วนล้มละลายจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยศาลในคดีส่วนแพ่งคดีนี้ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยได้การที่จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ
จำเลยร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่มีคำสั่งไม่เข้าดำเนินคดีร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยตามคำขอของจำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 146แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งยืนตามกลับหรือแก้ไขหรือสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรได้ คดีตามคำร้องของจำเลยเป็นสาขาคดีหนึ่งของกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลาย ที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ศาลในคดีส่วนล้มละลายจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยศาลในคดีส่วนแพ่งคดีนี้ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยได้การที่จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5197/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องคัดค้านการขายทอดตลาดในคดีล้มละลาย: ศาลล้มละลายมีอำนาจพิจารณา
ปัญหาเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ จำเลยร้องคัดค้านคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่มีคำสั่งไม่เข้าดำเนินคดีร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยตามคำขอของจำเลยทำให้จำเลยได้รับความเสียหายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา146แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งยืนตามกลับหรือแก้ไขหรือสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรได้คดีตามคำร้องของจำเลยเป็นสาขาคดีหนึ่งของกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดศาลในคดีส่วนล้มละลายจึงเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยศาลในคดีส่วนแพ่งคดีนี้ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามคำร้องของจำเลยได้การที่จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาในคดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5194/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, กรรมสิทธิ์รวม, การแบ่งแยกที่ดิน, ข้อห้ามตามกฎหมาย, การแก้ไขคำพิพากษา
ปัญหาว่่่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้การที่โจทก์ที่่2ฟ้องจำเลยที่3ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562อันเป็นผลให้โจทก์ที่2ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่3แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่3ถึงแก่กรรมโจทก์ที่2ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่3ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่3แล้วจำเลยที่3จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไปและเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่2ฟ้องโจทก์ที่2สำหรับจำเลยอื่นหาตกเป็นโมฆะหรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่่่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่4ใบจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา1364
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5194/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ข้อห้ามตามกฎหมาย, การแบ่งกรรมสิทธิ์รวม, ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
ปัญหาว่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ การที่โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา 1562 อันเป็นผลให้โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 2 ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไป และเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่ 2 ฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยอื่นหาตกเป็นโมฆะ หรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1364
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1364
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5193/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยคดีนอกประเด็น และการยกข้อต่อสู้ที่ไม่เคยกล่าวอ้างในชั้นศาล
การยกข้อกฎหมายขึ้นมาปรับบทนั้น จะต้องปรับบทกฎหมายตามข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติ โดยข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบซึ่งได้วินิจฉัยแล้วตามประเด็น หรือเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับ คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ผิดนัดนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระถึงวันที่ชำระเงินอัตราร้อยละสิบสองต่อปีตามสัญญา และค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้าที่โจทก์จ่ายแทนไป จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ชำระราคาส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์อ้างว่าเป็นค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้วไม่ได้ค้างชำระค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อ 4 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดนัดชำระราคาส่วนที่เหลือตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ดังนั้น ที่ว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ คือต้องรับผิดตามสัญญาตามฟ้องนั่นเอง หากไม่ต้องรับผิดด้วยเหตุที่โจทก์มิได้บอกสงวนสิทธิว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองด้วยในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้ จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสอง ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า โจทก์ได้บอกสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้หรือไม่ อันเป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหาก จึงจะปรับบทตาม ป.พ.พ.มาตรา 381 ได้ โดยจำเลยต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่า โจทก์มิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้ แต่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การแก้คดีในข้อดังกล่าวไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.
จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าดอกเบี้ยในส่วนที่ผิดนัดชำระราคาห้องชุดที่เหลือ โดยโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด แต่จำเลยไม่ชำระจึงได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 1ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุด จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้นปัญหานี้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุด จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิซื้อห้องชุดนั้น ปัญหานี้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเช่นกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แม้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้
จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าดอกเบี้ยในส่วนที่ผิดนัดชำระราคาห้องชุดที่เหลือ โดยโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด แต่จำเลยไม่ชำระจึงได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 1ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุด จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นั้นปัญหานี้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุด จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิซื้อห้องชุดนั้น ปัญหานี้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเช่นกัน ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แม้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5193/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระราคาซื้อขายห้องชุด, ผลของการชำระเงินที่ไม่ครบถ้วน, และความรับผิดของตัวแทน
การยกข้อกฎหมายขึ้นมาปรับบทนั้นจะต้องปรับบทกฎหมายตามข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติโดยข้อเท็จจริงนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบซึ่งได้วินิจฉัยแล้วตามประเด็นหรือเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ผิดนัดนับแต่วันที่ครบกำหนดชำระถึงวันที่ชำระเงินอัตราร้อยละสิบสองต่อปีตามสัญญาและค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้าที่โจทก์จ่ายแทนไปจำเลยที่1ให้การว่าจำเลยที่1ได้ชำระราคาส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยที่โจทก์อ้างว่าเป็นค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นที่เรียบร้อยแล้วไม่ได้ค้างชำระค่าน้ำประปาค่าไฟฟ้าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อ4ว่าจำเลยที่1เป็นฝ่ายผิดนัดชำระราคาส่วนที่เหลือตามฟ้องหรือไม่และจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใดดังนั้นที่ว่าจำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่คือต้องรับผิดตามสัญญาตามฟ้องนั่นเองหากไม่ต้องรับผิดด้วยเหตุที่โจทก์มิได้บอกสงวนสิทธิว่าจะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองด้วยในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้จึงไม่มีสิทธิเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองก็เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้บอกสงวนสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้หรือไม่อันเป็นอีกประเด็นหนึ่งต่างหากจึงจะปรับบทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา381ได้โดยจำเลยต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ว่าโจทก์มิได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยทั้งสองในเวลาที่โจทก์รับชำระหนี้แต่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การแก้คดีในข้อหาดังกล่าวไว้คดีจึงไม่มีประเด็นดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยยังไม่ได้ชำระค่าดอกเบี้ยในส่วนที่ผิดนัดชำระราคาห้องชุดที่เหลือโดยโจทก์แจ้งให้จำเลยชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดแต่จำเลยไม่ชำระจึงได้เชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่2เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่1ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุดจำเลยที่2จึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1นั้นปัญหานี้จำเลยที่2ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่2เป็นตัวแทนจำเลยที่1ในการทำสัญญาซื้อขายห้องชุดจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยที่2เป็นคนต่างด้าวไม่มีสิทธิซื้อห้องชุดนั้นปัญหานี้จำเลยที่2ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การเช่นกันฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แม้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรวินิจฉัยให้