พบผลลัพธ์ทั้งหมด 88 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสมรสที่ขัดต่อกฎหมายเนื่องจากมีคู่สมรสอื่นแล้ว ศาลพิพากษาให้การสมรสเป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย จำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่า โจทก์สมรสกับจำเลยในขณะโจทก์ยังเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชายอื่นอยู่ จดทะเบียนสมรสกันตามสำเนาภาพถ่ายทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง จำเลยสมรสกับโจทก์โดยสำคัญผิด หลงเชื่อโดยสุจริตตามคำบอกกล่าวของโจทก์ว่าโจทก์ได้หย่าขาดจากชายอื่นแล้วและไม่ได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งเพียงว่า ข้อความตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไม่เป็นความจริงเพราะจำเลยจดทะเบียนสมรสกับโจทก์โดยความยินยอมและสมัครใจมิใช่เนื่องจากกลฉ้อฉลหรือสำคัญผิดแต่อย่างใด โจทก์ไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงข้อที่ว่าโจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ในขณะสมรสกับจำเลยและไม่ได้ให้การปฏิเสธถึงความถูกต้องแท้จริงของสำเนาทะเบียนสมรสท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง ประกอบกับตามคำให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อสุดท้ายของโจทก์ที่ว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีตั้งแต่ต้น หากการสมรสไม่ชอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ก่อเช่นนี้ เท่ากับโจทก์ยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ทำการสมรสกับจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดการชี้สองสถานและการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ ชอบแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 810/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่ได้ปฏิเสธการออกเช็คชัดแจ้ง ถือว่ารับสภาพหนี้ตามเช็ค และข้อต่อสู้เรื่องความสัมพันธ์กับผู้อื่นใช้ไม่ได้ผล
โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินตามเช็คฉบับเดียว จำเลยให้การว่า เคยออกเช็ค 2 ฉบับชำระหนี้ค่าซื้อรถยนต์และค่าเบี้ยประกันภัยแก่ น. ต่อมาผู้รับประกันภัยไม่ออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ตามที่ตกลงกันไว้ จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงิน ตามคำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่อาจทราบได้ว่า เช็ค 2 ฉบับ มีฉบับที่โจทก์ฟ้องรวมอยู่ด้วยหรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธให้ชัดแจ้งจึงต้องถือว่าจำเลยรับว่าได้สั่งจ่ายเช็คตามฟ้องจริง จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่า การโอนเช็คให้โจทก์มีขึ้นด้วยการคบคิดกันฉ้อฉลหรือโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คโดยไม่สุจริต จำเลยจะยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยกับ น.ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 916 จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยฎีกาขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานจำเลยต่อไป ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท มิใช่คิดตามทุนทรัพย์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3400/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมรับข้อเท็จจริงในชั้นศาล และผลของการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์
จำเลยจะใช้ระเบียบใดบังคับในองค์การของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง
เมื่อโจทก์ยอมรับว่า ขณะโจทก์พ้นจากตำแหน่ง จำเลยมีระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 ใช้บังคับ ศาลจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความยอมรับ กันดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ระเบียบดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยข้อบังคับซึ่งจำเลยกำหนดขึ้นใหม่ จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาอุทธรณ์โดยมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
เมื่อโจทก์ยอมรับว่า ขณะโจทก์พ้นจากตำแหน่ง จำเลยมีระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 ใช้บังคับ ศาลจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความยอมรับ กันดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ระเบียบดังกล่าวถูกยกเลิกไปแล้วโดยข้อบังคับซึ่งจำเลยกำหนดขึ้นใหม่ จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาอุทธรณ์โดยมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3400/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับใช้ระเบียบภายในองค์กร: ศาลต้องยึดตามที่คู่ความยอมรับในชั้นศาลล่าง และห้ามยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์
จำเลยจะใช้ระเบียบใดบังคับในองค์การของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง เมื่อโจทก์ยอมรับว่า ขณะโจทก์พ้นจากตำแหน่ง จำเลยมีระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502ใช้บังคับ ศาลจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความยอมรับ กัน ดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ระเบียบดังกล่าว ถูกยกเลิกไปแล้วโดยข้อบังคับซึ่งจำเลยกำหนดขึ้นใหม่ จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาอุทธรณ์โดยมิได้ว่ากัน มาแล้วในศาลแรงงาน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญาที่จำเลยลงลายมือชื่อและจำนวนเงินกู้ ถือเป็นหลักฐานการกู้ยืม แม้โจทก์แก้ไขภายหลัง
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ 16,000 บาท จำเลยให้การว่าความจริงกู้เพียง 6,000 บาท ปรากฏว่าเอกสารหลักฐานแห่งการกู้เดิมเป็นแบบพิมพ์สัญญากู้เงิน เมื่อจำเลยเขียนเลข '6,000' ในช่องจำนวนเงินที่กู้ยืมและเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ยืม และได้ความว่าจำเลยยืมเงินของผู้อื่นไป 6,000 บาท ถือได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะลงวันที่กู้ยืมผิดไปจากวันกู้ที่แท้จริงและเพิ่มเติมจำนวนเงินกู้ให้สูงขึ้น โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมซึ่งทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ก็ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญาที่จำเลยลงลายมือชื่อ แม้จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยโจทก์ ก็ยังเป็นหลักฐานการกู้ยืมที่จำเลยต้องรับผิด
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ 16,000 บาท จำเลยให้การว่าความจริงกู้เพียง 6,000 บาท ปรากฏว่าเอกสารหลักฐานแห่งการกู้เดิมเป็นแบบพิมพ์สัญญากู้เงิน เมื่อจำเลยเขียนเลข '6,000' ในช่องจำนวนเงินที่กู้ยืมและเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ยืม และได้ความว่าจำเลยยืมเงินของผู้อื่นไป6,000 บาท ถือได้ว่ามีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดแล้ว แม้ต่อมาโจทก์จะลงวันที่กู้ยืมผิดไปจากวันกู้ที่แท้จริงและเพิ่มเติมจำนวนเงินกู้ให้สูงขึ้น โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมซึ่งทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ก็ไม่ทำให้หลักฐานแห่งการกู้ยืมที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียไป จำเลยจึงต้องรับผิดตามหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่นำสืบพยานหลักฐานของผู้ฟ้องคดี และการรับรองข้อเท็จจริงของจำเลยในคดีแพ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกัน และจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้จำนอง ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้ที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 4 ยื่นคำให้การต่อสู้คดีส่วนจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์โดยมิได้ชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทโจทก์ย่อมมีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานเต็มตามฟ้อง จะถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 มิได้ปฏิเสธข้อหาตามฟ้องต้องถือว่ายอมรับจึงไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบในข้อที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ยอมรับแล้วหาได้ไม่ เพราะจำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ จะถือว่า จำเลยที่ 3 ยอมรับตามคำฟ้องไม่ได้ ข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 84(1) ที่ว่าคู่ความไม่ต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งศาลเห็นว่าคู่ความอีกฝ่ายได้รับแล้วนั้นเป็นกรณีที่ศาลเห็นมิใช่โจทก์เห็นหรือเข้าใจเอาเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญและการรับฟังใบรับเงินค่าหุ้นแม้ไม่มีอากรแสตมป์
โจทก์กับพวกได้นำเงินมาลงหุ้นกับจำเลยและ ว. ตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อหุ้นส่วนตายห้างหุ้นส่วนย่อมเลิกกัน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้
ใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้อง จำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุน ได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้น แต่ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก แม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์ตามที่จำเลยให้การและเบิกความรับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา84 (1)
ใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้อง จำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุน ได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้น แต่ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก แม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์ตามที่จำเลยให้การและเบิกความรับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา84 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 536/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญเมื่อหุ้นส่วนถึงแก่ความตาย และการใช้ใบรับเงินเป็นหลักฐาน
โจทก์กับพวกได้นำเงินมาลงหุ้นกับจำเลยและ ว.ตั้งขึ้นเป็นโรงเรียนซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน เมื่อหุ้นส่วนตายห้างหุ้นส่วนย่อมเลิกกัน โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนได้
ใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้องจำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุนได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้นแต่ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก แม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์ตามที่จำเลยให้การและเบิกความรับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา84(1)
ใบเสร็จรับเงินค่าหุ้นโจทก์ได้ส่งภาพถ่ายมาพร้อมกับคำฟ้องจำเลยให้การรับว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์และผู้ขอลงทุนได้ระบุเป็นการล่วงหน้าว่ารับเงินเป็นค่าลงหุ้นแต่ความจริงเป็นการรับเงินกู้ยืม เมื่อโจทก์ส่งต้นฉบับในชั้นพิจารณา จำเลยก็เบิกความว่าเป็นใบรับเงินที่จำเลยทำขึ้น จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานอีก แม้ใบรับเงินที่โจทก์อ้างจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ว่าเป็นใบรับเงินที่ออกให้โจทก์ตามที่จำเลยให้การและเบิกความรับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา84(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเช็ค: วันหยุดราชการและวันหยุดธนาคารมีผลต่อการนับระยะเวลา
ผู้ทรงเช็คมีสิทธิฟ้องผู้สั่งจ่ายให้รับผิดใช้เงินตามเช็คได้ภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่เช็คถึงกำหนดใช้เงิน เมื่อวันออกเช็คตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาซึ่งเป็นวันหยุดราชการและวันหยุดของธนาคารโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ อายุความจึงเริ่มนับในวันรุ่งขึ้นของวันออกเช็ค และเมื่อวันสุดท้ายซึ่งครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาและติดต่อกับวันเสาร์วันอาทิตย์ตามลำดับ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในวันจันทร์ซึ่งเป็นวันที่เริ่มทำงานใหม่ได้
วันหยุดราชการเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องหรือนำสืบแสดงเหตุผลให้ปรากฏ และข้อที่ว่าถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาเป็นวันหยุดราชการ ให้นับวันที่เริ่มทำงานใหม่เข้าด้วย เป็นข้อกฎหมายซึ่งศาลรับรู้เองและศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
วันหยุดราชการเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องหรือนำสืบแสดงเหตุผลให้ปรากฏ และข้อที่ว่าถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาเป็นวันหยุดราชการ ให้นับวันที่เริ่มทำงานใหม่เข้าด้วย เป็นข้อกฎหมายซึ่งศาลรับรู้เองและศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้