พบผลลัพธ์ทั้งหมด 48 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาตามยอม และขอบเขตอำนาจศาลในการบังคับสัญญาประนีประนอม
โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามิได้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษาหลังจากที่มีคำสั่งนัดพร้อม จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วหากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยได้ขายที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วหากโจทก์จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมอย่างใด ก็ชอบที่จะดำเนินการกับจำเลยในทางอื่น ศาลไม่มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยแบ่งที่ดินของจำเลยไว้เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลผูกพัน แม้การซื้อขัดมติคณะกรรมการ การซื้อผิดแหล่งถือเป็นความผิดของผู้ซื้อ
จำเลยได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้เป็นผู้ซื้อข้าวโพดให้โจทก์โดยให้ซื้อเฉพาะหน้าฉาง แต่จำเลยไปซื้อข้าวโพดจากประเทศลาว จำเลยได้ยืมเงินทดรองไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง จำเลยซื้อข้าวโพดแล้วยังเหลือเงินอยู่บ้าง ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ยอมใช้เงินจำนวนที่เหลือนี้แก่โจทก์ จำเลยจะอ้างว่าเนื่องจากรัฐบาลสั่งปิดพรมแดนไม่สามารถนำข้าวโพดเข้ามาในประเทศได้ การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยย่อมฟังไม่ได้ เพราะเป็นความผิดของจำเลยเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 928/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อผิดสัญญา จำเลยต้องจัดทำถนนและชำระเบี้ยปรับตามสัญญา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันทำการจัดสรรที่ดินให้โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ แล้วจำเลยทั้งสามประพฤติผิดสัญญา โดยไม่จัดการทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ และที่ดินที่จำเลยร่วมกันจัดสรรทุกแปลง จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดตามสัญญา เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
ได้มีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 2 ขึ้นก่อน ต่อมามีความจำเป็นต้องใช้ทุนมาก จึงได้จัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ขึ้น แต่ก็มีวัตถุประสงค์ในการซื้อขายที่ดินเช่นเดียวกัน จำเลยที่ 1 ได้ออกใบรับเงินค่าเช่าซื้อที่ดินให้โจทก์หลายฉบับ และยังมีหนังสือถึงโจทก์เกี่ยวกับการทำถนนและท่อระบายน้ำชี้แจงให้โจทก์ทราบว่า ได้ว่าจ้างผู้รับเหมาให้ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำแล้ว โดยกรรมการผู้จัดการลงชื่อและประทับตราบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือนั้น เห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 ยินยอมรับเอากิจการจัดสรรที่ดินของจำเลยที่ 2 มาดำเนินการร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย และยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อที่จำเลยที่ 2 ทำไว้กับโจทก์ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ลงนามในสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดร่วมด้วย ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างฯ จำเลยที่ 2 โดยไม่มีจำกัดจำนวน จึงต้องรับผิดเป็นส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย ดังนั้น โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้
เหตุที่จำเลยจะไม่ต้องรับผิดเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี จำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การไว้ การนำสืบถึงประเด็นนั้นจึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ให้การไว้ รับฟังไม่ได้
นับตั้งแต่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าซื้อ และโจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อจนส่งเงินค่าเช่าซื้อครบถ้วนเป็นเวลาหลายปี จำเลยมีโอกาสขวนขวายจัดหาซื้อวัสดุก่อสร้างเตรียมไว้ดำเนินการตามสัญญาเช่าซื้อได้ การที่วัสดุก่อสร้างมีราคาแพงขึ้น มิใช่ว่าจะหาซื้อไม่ได้เสียทีเดียว ในกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยอันจะทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย และจำเลยหลุดพ้นจากการชำระหนี้ เมื่อจำเลยไม่จัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ โจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำผ่านหน้าที่ดินจัดสรรของโจทก์ ให้เสร็จเรียบร้อยตามสัญญาเช่าซื้อภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 บัญญัติถึงกรณีที่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้ ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันใดอันหนึ่ง เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้น โดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายก็ได้ แต่โจทก์มิได้มีคำขอให้ศาลพิพากษาว่า หากจำเลยไม่ทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำให้โจทก์ ให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ที่ศาลพิพากษาว่าหากจำเลยไม่ทำให้โจทก์จ้างบุคคลภายนอกทำโดยให้จำเลยทั้งสามเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 213 วรรค 2 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ส่วนที่ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามจัดทำถนนคอนกรีตและท่อระบายน้ำ และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ด้วยนั้น ตามสัญญาเช่าซื้อมีว่า "หากผู้ให้เช่าซื้อผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้ผู้เช่าซื้อฟ้องร้องเรียกเบี้ยปรับ และให้บังคับตามกฎหมาย ทั้งยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไปแล้วอีกโสดหนึ่งด้วย" สัญญาเช่าซื้อระบุชัดเช่นนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามสัญญาคือ ทำถนนคอนกรีต ท่อระบายน้ำ และเรียกร้องเอาเบี้ยปรับได้ทั้งสองกรณีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 วรรคแรก
สัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่า "ยอมให้ผู้เช่าซื้อปรับเป็นเงินอีกหนึ่งเท่าของจำนวนเงินที่ผู้เช่าซื้อได้ชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อไป" หมายความว่า จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเงินเท่ากับเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ชำระให้จำเลยไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาก่อสร้าง: ความรับผิดแม้เกิดเหตุสุดวิสัย และผลของการตกลงซ่อมแซมโดยไม่ระบุการชดเชย
เกิดพายุไต้ฝุ่นน้ำท่วมทำให้ถนนที่โจทก์รับจ้างทำเสียหายโจทก์ซ่อมให้ดีตามเดิม ในสัญญาให้โจทก์รับผิดแม้ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย โจทก์เรียกให้จำเลยใช้ค่าที่ต้องซ่อมถนนไม่ได้ โจทก์กับช่างของจำเลยตกลงกันให้โจทก์ซ่อมถนนตามราคาที่กำหนดแต่จะต้องได้รับอนุมัติจำเลยก่อน ข้อตกลงนั้นไม่ผูกพันนิติบุคคลจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขายเมื่อสินค้าส่งช้าเกินกำหนด ยกเว้นภาษีอากร
จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องจากโจทก์ในราคาซึ่งไม่รวมภาษีขาเข้า โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยซึ่งได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าและอื่น ๆ ตกลงให้โจทก์สั่งเครื่องปรับอากาศในนามของจำเลยเพื่อชดใช้แทนเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องที่รับไปจากโจทก์ เมื่อสินค้าที่สั่งมาถึงจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่โจทก์จนกว่าจะแล้วเสร็จ โจทก์ได้ตรวจดูบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่ามีเวลาสั่งซื้อสินค้าทันกำหนดเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ดังนี้ ตามข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์จะต้องสั่งเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้ทันระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจะหมดอายุเมื่อใด การที่โจทก์สั่งสินค้าล่าช้าเป็นเหตุให้สินค้ามาถึงประเทศไทยเลยกำหนดระยะเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ จำเลยจึงติดต่อขอยกเว้นเงินอากรขาเข้า และภาษีการค้าไม่สำเร็จ จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีเทศบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ต้องเสียไปเพื่อนำเครื่องปรับอากาศออกมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความล่าช้าในการสั่งซื้อสินค้าทำให้เสียสิทธิยกเว้นภาษีอากร ผู้ซื้อไม่ต้องรับผิดชอบ
จำเลยได้ซื้อเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องจากโจทก์ในราคาซึ่งไม่รวมภาษีขาเข้า โดยมีข้อตกลงกันว่า จำเลยซึ่งได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการอุตสาหกรรมและมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ภาษีการค้าและอื่นๆ ตกลงให้โจทก์สั่งเครื่องปรับอากาศในนามของจำเลยเพื่อชดใช้แทนเครื่องปรับอากาศ 6 เครื่องที่รับไปจากโจทก์ เมื่อสินค้าที่สั่งมาถึงจำเลยจะเป็นผู้ดำเนินเรื่องเกี่ยวกับการยกเว้นภาษีให้แก่โจทก์จนกว่าจะแล้วเสร็จ โจทก์ได้ตรวจดูบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ของจำเลยแล้ว ปรากฏว่ามีเวลาสั่งซื้อสินค้าทันกำหนดเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ดังนี้ ตามข้อตกลงดังกล่าวมีความหมายว่า โจทก์จะต้องสั่งเครื่องปรับอากาศเข้ามาให้ทันระยะเวลาที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯ ซึ่งโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าจะหมดอายุเมื่อใด การที่โจทก์สั่งสินค้าล่าช้าเป็นเหตุให้สินค้ามาถึงประเทศไทยเลยกำหนดระยะเวลาในบัตรส่งเสริมการลงทุนฯจำเลยจึงติดต่อขอยกเว้นเงินอากรขาเข้า และภาษีการค้าไม่สำเร็จ จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในค่าอากรขาเข้า ภาษีการค้า ภาษีเทศบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่โจทก์ต้องเสียไปเพื่อนำเครื่องปรับอากาศออกมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถจักรยานยนต์ที่ถูกขโมย และอายุความของคดีรอนสิทธิ
โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านจำเลยร่วม ต่อมาความปรากฏว่ารถคันนั้นเป็นของ ค.ที่หายไป ตำรวจจับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการร้านจำเลยร่วมเป็นผู้ต้องหาฐานรับของโจทก์และยึดรถคันดังกล่าวไว้ ดังนี้แม้โจทก์จะได้รถจักรยานยนต์จากการซื้อขายในท้องตลาดและมีสิทธิที่จะติดตามเอารถคืนได้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏชัดแจ้งแล้วว่ารถเป็นของ ค.ที่หายไป ซึ่งโจทก์จะต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงและพนักงานสอบสวนคดีที่จำเลยต้องหาว่ารับของโจรนั้นก็ว่า ถึงโจทก์จะไปขอรับรถจักรยานยนต์นั้นคืนก็ไม่คืนให้ จำเลยในฐานะผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะทรัพย์สินที่ซื้อขายหลุดไปจากโจทก์ เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา 479 และแม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอให้ชดใช้ราคาจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยตรงตามมาตรา 1332 ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคันอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนั้น ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 165 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
(วรรค 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคันอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 481 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนั้น ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 165 ซึ่งมีอายุความ 10 ปี
(วรรค 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 390/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถจักรยานยนต์คันที่ถูกขโมยมา ผู้ขายต้องรับผิดชอบต่อผู้ซื้อ
โจทก์ซื้อรถจักรยานยนต์จากร้านจำเลยร่วม ต่อมาความปรากฏว่ารถคันนั้นเป็นของ ค. ที่หายไป ตำรวจจับจำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการร้านจำเลยร่วมเป็นผู้ต้องหาฐานรับของโจรและยึดรถคันดังกล่าวไว้ ดังนี้แม้โจทก์จะได้รถจักรยานยนต์จากการซื้อขายในท้องตลาดและมีสิทธิที่จะติดตามเอารถคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏชัดแจ้งแล้วว่ารถเป็นของ ค. ที่หายไป ซึ่งโจทก์จะต้องคืนให้แก่เจ้าของที่แท้จริงและพนักงานสอบสวนคดีที่จำเลยต้องหาว่ารับของโจรนั้นก็ว่าถึงโจทก์จะไปขอรับรถจักรยานยนต์นั้นคืนก็ไม่คืนให้จำเลยในฐานะผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดต่อโจทก์ เพราะทรัพย์สินที่ซื้อขายหลุดไปจากโจทก์ เพราะเหตุแห่งการรอนสิทธิตามมาตรา 479และแม้โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องเอารถคืนหรือขอให้ชดใช้ราคาจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของรถโดยตรงตามมาตรา 1372 ก็มิได้หมายความว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องจากจำเลยในเหตุรอนสิทธิไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้
ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคนอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนั้น ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 165ซึ่งมีอายุความ 10 ปี (วรรคสามวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
ความรับผิดในการรอนสิทธิของจำเลยมีมูลมาจากสัญญาซื้อขาย การที่โจทก์ไม่อาจได้กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์และต้องว่าจ้างรถคนอื่นไปใช้งาน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ย่อมมีสิทธิให้จำเลยใช้ราคารถและค่าเสียหายนั้นได้
การยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อความรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือนนั้น ต้องเป็นการยอมโดยสมัครใจ การที่ตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ไปจากโจทก์ด้วยอำนาจของกฎหมายซึ่งโจทก์จำต้องยอมให้ยึด มิฉะนั้นโจทก์อาจจะต้องมีความผิดในทางอาญานั้น ความรับผิดของจำเลยผู้ขายไม่อยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 481 แต่ต้องอยู่ในบังคับอายุความตามมาตรา 165ซึ่งมีอายุความ 10 ปี (วรรคสามวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการขัดขืนคำบังคับ: สภาพการบังคับคดีต้องเปิดช่องให้ปฏิบัติได้ การกักขังลูกหนี้ต้องทำได้จริง
โจทก์ชนะคดีจำเลยในเรื่องจำเลยผิดสัญญาได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารเสียเองในที่ดินที่ตกลงมอบสิทธิการก่อสร้างให้ โจทก์แล้วตามสัญญา โดยศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยได้ทำลงในที่ดินนั้นออกไปเสียและมอบที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาคดีถึงที่สุด และศาลได้ออกคำบังคับตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยจงใจขัดขืนคำบังคับของศาลโดยไม่ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป ขอให้ออกหมายจับและกักขังจำเลยจนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับ ตามทางไต่สวนได้ความว่าตึกแถวที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปนั้น มีผู้เข้าอยู่อาศัยโดยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนมาก ดังนี้ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ จะบังคับจำเลยในทางนี้ไม่ได้ การจะจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติตามคำบังคับได้ แต่ไม่ปฏิบัติ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะบังคับจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำบังคับที่โจทก์ขอมานั้นได้จำต้องยกคำร้องโจทก์โดยโจทก์ชอบที่จะดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินมีผู้ครอบครอง ย่อมทำไม่ได้หากสภาพไม่เปิดช่อง
โจทก์ชนะคดีจำเลยในเรื่องจำเลยผิดสัญญาได้เข้าทำการก่อสร้างอาคารเสียเองในที่ดินที่ตกลงมอบสิทธิการก่อสร้างให้โจทก์แล้วตามสัญญา โดยศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอน สิ่งปลูกสร้างที่จำเลยได้ทำลงในที่ดินนั้นออกไปเสียและมอบที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา คดีถึงที่สุด และศาลได้ออกคำบังคับตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยจงใจขัดขืนคำบังคับของศาลโดยไม่ได้รื้อสิ่งปลูกสร้างออกไป ขอให้ออกหมายจับและกักขังจำเลยจนกว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับ ตามทางไต่สวนได้ความว่าตึกแถวที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนออกไปนั้น มีผู้เข้าอยู่อาศัยโดยเสียเงินช่วยค่าก่อสร้างไปแล้วเป็นส่วนมาก ดังนี้ ถือได้ว่าสภาพแห่งการบังคับคดีไม่เปิดช่องให้ทำได้ จะบังคับจำเลยในทางนี้ไม่ได้ การจะจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ลูกหนี้จะต้องอยู่ในฐานะที่จะปฏิบัติตามคำบังคับได้ แต่ไม่ปฏิบัติ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะบังคับจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ให้ปฏิบัติตามคำบังคับที่โจทก์ขอมานั้นได้จำต้องยกคำร้องโจทก์โดยโจทก์ชอบที่จะดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 218 ได้