คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พิสิฐ ฐิติภัค

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 109 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3504/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าจ้างทนาย: สัญญาไม่เป็นโมฆะ แต่ลดหย่อนได้ตามส่วนงานที่ทำจริง
สัญญาจ้างว่าความระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะหรือไม่ แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และคู่ความอุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ต่อมาจึงชอบด้วยกฎหมาย
ตามคำฟ้องและคำให้การฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยตกลงค่าจ้างว่าความกัน 250,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าจำเลยจะจ่ายค่าจ้างว่าความให้โจทก์ต่อเมื่อจำเลยได้รับเงินจาก ส. ลูกหนี้แล้ว ไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยตกลงให้สินจ้างกันอีกร้อยละ 5 ของเงินที่จำเลยจะได้รับชำระจาก ส. ลูกหนี้ของจำเลยหรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยนำสืบว่าโจทก์เรียกค่าจ้างว่าความจากจำเลยเป็นเงิน 40,000 บาท และเรียกเพิ่มอีกร้อยละ 5 เมื่อจำเลยได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นรับฟังไม่ได้ คดีจึงไม่มีปัญหาว่าสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารสิทธิ การแก้ไขจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิ
หนังสือมอบอำนาจเป็นเพียงเอกสารซึ่งบุคคลหนึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ ให้มีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ หนังสือมอบอำนาจจึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) การที่จำเลยที่ 1 กรอกข้อความลงในหนังสือมอบอำนาจที่โจทก์ร่วมลงลายมือชื่อไว้นั้น จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 265

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3448/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือมอบอำนาจไม่ใช่เอกสารสิทธิ การกรอกข้อความจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
หนังสือมอบอำนาจเป็นเพียงเอกสารซึ่งบุคคลหนึ่งเป็นผู้มอบอำนาจมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ ให้มีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทน มิได้เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ จึงไม่เป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3433/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีจำหน่ายยาเสพติด: แก้ไขโทษตามกฎหมายใหม่ & ล้างมลทินผู้ต้องโทษเดิม
แม้จะฟังได้ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าไว้วางใจได้หรือไม่ แล้วจำเลยที่ 2 จะหันไปถามสิบตำรวจโท ป. ว่ามาจากไหนเมื่อได้รับคำตอบจากสิบตำรวจโท ป. ว่า "ไอ้รุ่งร้านยางบ้านโคกตายอให้มาซื้อของ" จำเลยที่ 2 จึงตอบจำเลยที่ 1 ไปว่า "ไว้ใจได้ขายเขาไปเถอะ" ก็ตาม ก็มิได้หมายความว่าอำนาจตัดสินใจในการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจะอยู่กับจำเลยที่ 2 การตัดสินใจซื้อขายเมทแอมเฟตามีนและการตกลงราคายังขึ้นอยู่กับจำเลยที่ 1 เท่านั้น นอกจากนี้ทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องในการยึดถือหรือครอบครองดูแลหรือร่วมเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนของกลาง ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนด้วย เมื่อตกลงซื้อขายกันแล้วจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนที่ซุกซ่อนไว้มามอบให้สิบตำรวจโท ส. และจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้รับเงินค่าเมทแอมเฟตามีนจากสิบตำรวจโท ส. เอง การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องโจทก์ แต่การที่จำเลยที่ 2 ตอบจำเลยที่ 1 ไปว่า "ไว้ใจได้ขายเขาไปเถอะ" ย่อมเป็นการพูดเพื่อช่วยในการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 ในอันที่จะขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สิบตำรวจโท ส. ที่ปลอมตัวเป็นสายลับเข้าไปขอซื้อให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น จึงเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3433/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยาเสพติด: การครอบครองจำหน่าย, การสนับสนุน, การแก้ไขโทษตามกฎหมายใหม่ และการล้างมลทิน
จำเลยที่ 2 ตอบจำเลยที่ 1 ว่า "ไว้ใจได้ ขายเขาไปเถอะ" เพื่อช่วยในการตัดสินใจของจำเลยที่ 1 ที่จะขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สายลับให้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 แม้โจทก์จะฟ้องว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลฎีกาก็ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ได้เนื่องจากเป็นข้อแตกต่างที่มิใช่สาระสำคัญทั้งจำเลยที่ 2 มิได้หลงต่อสู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล่อซื้อยาเสพติด: เจตนาและพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
สิบตำรวจตรี ส. ขอซื้อยาลดความอ้วนซึ่งมีส่วนผสมของเฟนเตอมีนจากจำเลย จำเลยบอกว่าไม่มีและที่ร้านของจำเลยไม่ได้ขายลดความอ้วนดังกล่าวสิบตำรวจตรี ส. จึงบอกว่าคนรักต้องการใช้ยาลดความอ้วน จำเลยจึงบอกว่าจำเลยมียาลดความอ้วนอยู่ 1 ชุด ที่จำเลยซื้อมาไว้รับประทานเอง สิบตำรวจตรี ส.ขอซื้อยาลดความอ้วนชุดนั้นจำเลยจึงขายให้และเมื่อมีการตรวจค้นร้านขายยาของจำเลยก็ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายอื่นแต่อย่างใด เมื่อจำเลยไม่มีเฟนเตอมีนของกลางไว้เพื่อขายดังที่โจทก์ฟ้อง และรับฟังไม่ได้ว่าที่ร้านขายยาของจำเลยเคยมีการขายเฟนเตอมีนมาก่อน ดังนั้น การที่จำเลยขายเฟตเตอมีนของกลางให้แก่สิบตำรวจตรี ส. จึงเกิดจากการถูกล่อให้กระทำความผิด โดยจำเลยไม่มีเจตนาจะกระทำความผิดในการขายเฟตเตอมีนมาก่อน พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นพยานที่เกิดขึ้นโดยมิชอบโจทก์ไม่สามารถอ้างเป็นพยานหลักฐานได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2279/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ และบุกรุก พิจารณาจากพฤติการณ์แห่งการกระทำและเจตนาของผู้กระทำ
การที่จำเลยเอาเครื่องรับโทรทัศน์สี 1 เครื่อง เครื่องเสียงสเตอริโอ 1 เครื่องของกลางของผู้เสียหายไปจากบ้านของผู้เสียหายเพราะ ส. ซึ่งเป็นสามีของผู้เสียหายเป็นหนี้จำเลย โดยจำเลยไม่ได้ทำให้ทรัพย์สินอย่างอื่นเสียหาย คงยกเอาทรัพย์ของกลางไปเท่านั้นโดยจำเลยบอกว่าถ้าอยากได้คืนให้ ส. เอาเงินไปไถ่ ซึ่งวันรุ่งขึ้นเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านของจำเลย ก็พบจำเลยและทรัพย์ของกลางดังกล่าว เชื่อว่าจำเลยเอาทรัพย์ของกลางไปเพื่อให้ ส. หรือผู้เสียหายไปติดต่อชำระหนี้ที่ค้างชำระต่อกันการกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: ประเด็นฟ้องซ้ำ/ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ และการครอบครองโดยสงบต่อเนื่องเกิน 10 ปี
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ กรณีจึงเป็นคนละประเด็นกัน อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ปัญหานี้แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในคำคัดค้าน แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมจึงยกขึ้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2039/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองต่อเนื่องเกิน 10 ปีโดยสงบและเจตนาเป็นเจ้าของ
ประเด็นในคดีก่อนมีว่า ผู้ร้องทำละเมิดต่อผู้คัดค้านที่ 1 โดยการทำรั้วในที่ดินของผู้คัดค้านที่ 1 หรือไม่ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่จึงเป็นคนละประเด็นกัน ทั้งผู้คัดค้านที่ 2 และผู้คัดค้านร่วมมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน การยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้ร้องในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อน
การที่ผู้ร้องกับผู้คัดค้านพิพาทกันเกี่ยวกับที่ดินภายหลังจากที่ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทครบ 10 ปีแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการครอบครองโดยไม่สงบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1767/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์เกินกำหนด ศาลอุทธรณ์พิจารณาได้ตามอำนาจ ป.วิ.อ.ม.245(2) คำพิพากษาถึงที่สุด ไม่มีสิทธิฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิต โจทก์ไม่อุทธรณ์ จำเลยยื่นอุทธรณ์เกินกำหนด ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยและให้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 1 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดหรือไม่จึงเป็นการวินิจฉัยโดยอาศัยอำนาจตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง มิได้วินิจฉัยเพราะจำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมถึงที่สุด จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
of 11