คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 264

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 229 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาคดี และการงดการบังคับคดีในคดีอื่น
แม้ที่ดินและบ้านที่พิพาทกันในคดีก่อนจะเป็นทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝากและขอให้ศาลพิพากษาว่าคำพิพากษาตามยอมในคดีก่อนเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับแก่โจทก์ก็ตาม การที่จำเลยขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ในคดีก่อน ย่อมเป็นการบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนั้น โจทก์จะมายื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งงดการบังคับคดีในคดีนี้หาได้ไม่ และคำขอของโจทก์ในกรณีเช่นนี้มิใช่เป็นเรื่องการขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395-1397/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเพราะคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิขอคุ้มครองระหว่างพิจารณาจึงหมดไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวของโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ขอให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังเพราะไม่ยอมขนย้ายออกไป จำเลยขอให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนเนื่องจากยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะงด ให้ออกหมายจับ ดังนี้ จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งงดหรือเพิกถอนหมายจับไว้ชั่วคราวหาได้ไม่ เพราะคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยนั้นถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้นเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว สิทธิของจำเลยที่จะขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมหมดไปในตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395-1397/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอความคุ้มครองชั่วคราวก่อนบังคับคดีหลังศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้วไม่อาจฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวของโจทก์จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ขอให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังเพราะไม่ยอมขนย้ายออกไป จำเลยขอให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนเนื่องจากยังหาที่อยู่ใหม่ไม่ได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีเหตุที่จะงด ให้ออกหมายจับ ดังนี้ จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้มีคำสั่งงดหรือเพิกถอนหมายจับไว้ชั่วคราวหาได้ไม่ เพราะคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยนั้นถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้นเท่านั้น ไม่ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หลังจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว สิทธิของจำเลยที่จะขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองจำเลยในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ย่อมหมดไปในตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลยกคำร้องขอโอนคดีเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 226
คดีที่ศาลสั่งรับคำฟ้องแล้ว เป็นคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ก่อนยื่นคำให้การจำเลยยื่นคำร้องขอโอนคดีไปยังศาลอื่น ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 คำร้องขอโอนคดีไปศาลอื่นนั้น เป็นวิธีการเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลที่จะพิจารณาคดี มิใช่เกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์อย่างใดของคู่ความในระหว่างการพิจารณา ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 264 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 228(2) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลยกคำร้องขอโอนคดีก่อนมีคำพิพากษา เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่อุทธรณ์ได้ตามมาตรา 226
คดีที่ศาลสั่งรับคำฟ้องแล้ว เป็นคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ก่อนยื่นคำให้การ จำเลยยื่นคำร้องขอโอนคดีไปยังศาลอื่น ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 คำร้องขอโอนคดีไปศาลอื่นนั้น เป็นวิธีการเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลที่จะพิจารณาคดี มิใช่เกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์อย่างใดของคู่ความในระหว่างการพิจารณา ดังเช่นที่บัญญัติไว้ในมาตรา 264 กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 228(2) คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอโอนคดีของจำเลยจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างบังคับคดีและการงดบังคับคดี ต้องมีเหตุผลรองรับข้ออ้างของลูกหนี้
มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เมื่อคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และที่จำเลยร้องขอให้ถอนการยึดหรือให้งดการขายทอดตลาดไว้เพื่อรอฟังผลของคดีอื่น ก็มิใช่เป็นวิธีการเพื่อบังคับตามคำพิพากษาคำร้องขอของจำเลย จึงไม่เข้ามาตรา 264แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตาม คำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างบังคับคดีและการงดบังคับคดีต้องมีเหตุผลรองรับ
มาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เมื่อคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว จึงไม่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใด และที่จำเลยร้องขอให้ถอนการยึดหรือให้งดการขายทอดตลาดไว้เพื่อรอฟังผลของคดีอื่น ก็มิใช่เป็นวิธีการเพื่อบังคับตามคำพิพากษาคำร้องขอของจำเลย จึงไม่เข้ามาตรา 264 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสองศาลจะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีไว้ต่อเมื่อได้พิจารณาเหตุผล2 ประการประกอบกันคือพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้ประการหนึ่ง และพิจารณาว่าถ้างดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอีกประการหนึ่ง ดังนั้น แม้จะฟังว่าการงดการบังคับคดีไว้ไม่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลก็จะสั่งให้งดบังคับคดียังไม่ได้ ศาลจะต้องพิจารณาว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคำพิพากษามีเหตุฟังได้หรือไม่เสียก่อน หากไม่มีเหตุฟังได้ก็จะไม่สั่งให้งดการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในค่าเช่าเมื่อฟ้องเพิกถอนการให้ขาดเจตนา ศาลคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้โดยอ้างว่าได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างโดยขาดเจตนา ย่อมขอให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา โดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าห้องแถวพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเสร็จคดีมาวางศาลได้ เพราะถ้าศาลพิพากษาให้เพิกถอน โจทก์ย่อมมีสิทธิในเงินค่าเช่าห้องแถวนับแต่วันจดทะเบียนสัญญาให้ มิใช่ตั้งแต่วันศาลพิพากษาให้เพิกถอนดังฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 940/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในค่าเช่าเมื่อฟ้องเพิกถอนการให้ขาดเจตนา: การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้โดยอ้างว่าได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างโดยขาดเจตนา ย่อมขอให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา โดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าห้องแถวพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเสร็จคดีมาวางศาลได้ เพราะถ้าศาลพิพากษาให้เพิกถอน โจทก์ย่อมมีสิทธิในเงินค่าเช่าห้องแถวนับแต่วันจดทะเบียนสัญญาให้ มิใช่ตั้งแต่วันศาลพิพากษาให้เพิกถอนดังฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1463/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี ต้องเกี่ยวข้องกับประเด็นที่พิพาทโดยตรง หากไม่ใช่ศาลไม่จำเป็นต้องสั่ง
การร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น คู่ความฝ่ายใดจะร้องขอก็ได้ แต่จะต้องเป็นการคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิหรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้น ได้รับความคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษา
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์เรือน แม้จะปรากฏว่าโจทก์ให้บุคคลอื่นเช่าเรือนนั้นและได้ค่าเช่าเป็นประโยชน์ตอบแทนจำเลยก็จะร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์หรือผู้เช่านำเงินค่าเช่ามาวางศาลหาได้ไม่ เพราะผลของคดีถ้าจำเลยเป็นฝ่ายชนะศาลก็จะพิพากษายกฟ้องของโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การจำเลยเท่านั้น ไม่มีผลบังคับไปถึงผลประโยชน์อันเป็นค่าเช่าตามที่จำเลยร้องขอคุ้มครองได้ เว้นไว้แต่จำเลยจะได้ฟ้องแย้งขอแสดงกรรมสิทธิ์เรือนและเรียกค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาด้วย
of 23