คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 264

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 229 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 954/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดี และการพิจารณาประโยชน์ที่โจทก์ได้รับจากทรัพย์สินพิพาท
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินรวมทั้งรายได้ที่ได้มาระหว่างเป็นสามีภริยาโดยมีชอบด้วยกฎหมาย ชั้นไต่สวนเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาได้ความว่าโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและอยู่ร่วมกันที่โรงแรมและบ้านเช่าอันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินที่พิพาท ทั้งโรงแรมและบ้านเช่านั้นปลูกอยู่บนที่ดินซึ่งมีชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ ดังนี้ รายได้จากกิจการโรงแรมและบ้านเช่าเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในระหว่างพิจารณาที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองโดยให้นำมาวางต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264
คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณา เมื่อข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณามีคำสั่งแก้ไขหรือยกเลิกวิธีการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 262 มิใช่เป็นอำนาจของศาลฎีกา เพราะยังถือไม่ได้ว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 954/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคดี และการคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์จากทรัพย์สินที่พิพาท
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์สินรวมทั้งรายได้ที่ได้มาระหว่างเป็นสามีภริยาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ชั้นไต่สวนเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาได้ความว่าโจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและอยู่ร่วมกันที่โรงแรมและบ้านเช่าอันเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินที่พิพาท ทั้งโรงแรมและบ้านเช่านั้นปลูกอยู่บนที่ดินซึ่งมีชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ ดังนี้รายได้จากกิจการโรงแรมและบ้านเช่าเป็นประโยชน์แก่โจทก์ในระหว่างพิจารณาที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการคุ้มครองโดยให้นำมาวางต่อศาลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264
คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของคู่ความในระหว่างพิจารณาเมื่อข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป็นหลักในการมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณามีคำสั่งแก้ไขหรือยกเลิกวิธีการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 262 มิใช่เป็นอำนาจของศาลฎีกา เพราะยังถือไม่ได้ว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672-673/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงระหว่างคู่ความในชั้นพิจารณาคดีมีผลผูกพันบังคับได้ และศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับที่สูงเกินไปได้
ข้อตกลงของคู่ความที่ศาลได้จดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในระหว่างพิจารณาคดีว่า หากจำเลยชนะคดีและโจทก์ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 3 วัน โจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้วันละ 200 บาทนั้น เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขอให้คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา คู่ความจึงขอให้บังคับตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264, 260(2)
ส่วนค่าเสียหายตามข้อตกลงนั้นถือว่าเป็นเบี้ยปรับ และศาลมีอำนาจลดลงได้ตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672-673/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงระหว่างคู่ความในชั้นพิจารณาคดีมีผลผูกพันบังคับได้ และศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับที่สูงเกินไปได้
ข้อตกลงของคู่ความที่ศาลได้จดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในระหว่าง พิจารณาคดีว่า หากจำเลยชนะคดีและโจทก์ไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 3 วัน โจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้วันละ 200 บาทนั้น เป็นเรื่องพิพาทกันในชั้นขอให้คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา คู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษา คู่ความจึงขอให้บังคับตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264,260(2)
ส่วนค่าเสียหายตามข้อตกลงนั้นถือว่าเป็นเบี้ยปรับ และศาลมีอำนาจลดลงได้ตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 461/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องห้ามชั่วคราวก่อนพิพากษาในคดีพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่ตรงกับประเด็นที่ฟ้อง และไม่มีเหตุให้บังคับวางประกัน
โจทก์ฟ้องว่า ป. ทำพินัยกรรมยกที่นาพิพาทให้โจทก์เมื่อ ป. ตายแล้ว จำเลยลอบไปขอรับมรดกที่นานั้นเจ้าพนักงานหลงเชื่อจึงทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้จำเลยขอให้ศาลแสดงว่าการโอนมรดกที่พิพาทนั้นเป็นโมฆะ และแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาท ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ต่อมาในระหว่างการพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ห้ามชั่วคราวก่อนพิพากษา ความว่า โจทก์เคยให้ ช. เช่าทำนาในที่พิพาท แต่จำเลยให้ผู้อื่นเข้าไถหว่านในนาพิพาททำให้โจทก์เสียหายขาดรายได้เปลืองไปเปล่าปีละ 2,500 บาท ขอให้ศาลไต่สวนและสั่งห้ามจำเลยและบริวารเข้าครอบครองทำนาพิพาท หรือมิฉะนั้นก็ให้จำเลยวางเงินประกันการเสียหายปีละ2,500 บาท คำขอของโจทก์ดังนี้ไม่เข้ากรณีแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) และมาตรา 264 ศาลอาจยกคำร้องโจทก์เสียได้โดยไม่ต้องไต่สวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีกับทรัพย์ที่อยู่ในมือบุคคลที่สาม: สิทธิของเจ้าหนี้และผู้ครอบครอง
โจทก์ฟ้องเรียกจักรคืนจากจำเลยเพราะจำเลยผิดสัญญาซื้อขาย โจทก์ขอดให้ยึดจักรไว้ก่อนมีคำพิพากษา ศาลอนุญาตเจ้าพนักงานจึงไปยึดจักรรายนี้จากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำจักรไว้จากจำเลย เช่นนี้การที่ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยจักรที่ยึด กรณีจึงเป็นเรื่องผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ หาใช่เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ไม่ เมื่อโจทก์ถือว่าทรัพย์ของจำเลยไปตกอยู่ที่ผู้ร้อง โจทก์ก็ย่อมดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์ (จักร) นั้นได้ หาจำต้องฟ้องร้องเรียกทรัพย์นั้นจากผู้ร้อง แต่ประการใดไม่ แม้ผู้ร้องจะเถียงว่าเป็นของผู้ร้อง กฎหมายก็เปิดให้มีการร้องขัดทรัพย์ได้ อยู่แล้ว
แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิครอบครอง จะเจตนาเป็นเจ้าของ จะรับจักรไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอย่างใด แต่เมื่อกรรมสิทธิ์ยังอยู่กับจำเลย ส่วนผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์เช่นนี้ โจทก์ก็ยังนำยึดจักรนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 778/2503

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ตกอยู่กับบุคคลอื่น แม้บุคคลนั้นจะมีสิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องเรียกจักรคืนจากจำเลยเพราะจำเลยผิดสัญญาซื้อขาย
โจทก์ขอให้ยึดจักร ไว้ก่อนมีคำพิพากษาศาลอนุญาตเจ้าพนักงานจึงไปยึดจักรรายนี้จากผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับจำนำจักรไว้จากจำเลยเช่นนี้การที่ผู้ร้องร้องขอให้ปล่อยจักรที่ยึดกรณีจึงเป็นเรื่องผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ หาใช่เป็นการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ไม่เมื่อโจทก์ถือว่าทรัพย์ของจำเลยไปตกอยู่ที่ผู้ร้อง โจทก์ก็ย่อมดำเนินการบังคับคดีกับทรัพย์(จักร)นั้นได้หาจำต้องฟ้องร้องเรียกทรัพย์นั้นจากผู้ร้องแต่ประการใดไม่แม้ผู้ร้องจะเถียงว่าเป็นของผู้ร้องกฎหมายก็เปิดโอกาสให้มีการร้องขัดทรัพย์ได้อยู่แล้ว
แม้ผู้ร้องจะมีสิทธิครอบครอง จะเจตนาเป็นเจ้าของ จะรับจักรไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนอย่างใดแต่เมื่อกรรมสิทธิ์ยังอยู่กับจำเลย ส่วนผู้ร้องไม่มีกรรมสิทธิ์เช่นนี้ โจทก์ก็ยังนำยึดจักรนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในคดีบังคับคดีจำกัดเฉพาะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาและคู่ความในคดีเท่านั้น
ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลย โดยผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้นำยึดไว้ เพื่อบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้และผู้ร้องจะไปร้องในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ขอยึดหรืออายัตทรัพย์ดังกล่าวนี้ก่อน คำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 254 ก็ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 290
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ได้ เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 1 หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 322/2502

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในคดีบังคับคดี: ผู้มิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องเป็นแต่เพียงผู้ที่อ้างตนว่าเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยโดยผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยในคดีหนึ่ง ไม่มีสิทธิอย่างใดที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้นำยึดไว้เพื่อบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้และผู้ร้องจะไปร้องในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ขอยึดหรืออายัดทรัพย์ดังกล่าวนี้ก่อนคำพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 ก็ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290
คู่ความที่เกี่ยวข้องกับคดีเท่านั้นที่จะร้องขอขยายระยะเวลาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ได้เมื่อผู้ร้องเป็นบุคคลนอกคดี ก็ไม่อาจจะขอให้ศาลสั่งขยายระยะเวลาการขายทอดตลาดเพื่อให้โอกาสผู้ร้องเข้าขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ขายนั้นได้
การขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ1หมวด 1 นั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะผู้ที่เป็นคู่ความในคดีนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลบังคับตามข้อตกลงประมูลทำนาระหว่างพิจารณาคดี มิใช่การบังคับคดีตามคำพิพากษา
การประมูลทำนาพิพาทระหว่างคู่ความในคดีนั้นเป็นเรื่องที่คู่ความตกลงกันในศาลเกี่ยวกับคดีที่ดำเนินการพิจารณาอยู่ เมื่อศาลสั่งให้เป็นไปตามข้อตกลงนั้นแล้วและคู่ความฝ่ายที่ประมูลได้ ๆ ทำสัญญาไว้ต่อศาลว่าจะนำเงินมาวางศาลเช่นนี้ศาลก็ย่อมมีอำนาจออกคำบังคับให้โจทก์นำเงินมาวางศาลได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีให้มีคำพิพากษาขึ้นมาเสียก่อน กรณีเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษา
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2499)
of 23