พบผลลัพธ์ทั้งหมด 384 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8293/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนบัตรปลอม: พฤติการณ์ร้ายแรง ไม่รอการลงโทษ
การที่จำเลยได้มีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งธนบัตรปลอม แล้วจำเลยใช้ธนบัตรปลอมดังกล่าวซื้อสินค้าจากผู้เสียหายทั้งเจ็ด เป็นการสร้างความเสียหายต่อระบบการค้าและเงินตราของประเทศ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนโดยส่วนรวมนับเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8204/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ปลอมเอกสารเพื่อยักยอกเงิน ศาลแก้ไขโทษ
การที่จำเลยปลอมและใช้ใบถอนเงินฝากปลอม กับปลอมและใช้สมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากปลอมถอนเงินเกินกว่าจำนวนที่จำเลยได้รับมอบฉันทะแล้วยักยอกเอาเงินส่วนที่เกินไป ก็เพื่อเจตนาจะยักยอกเงินส่วนที่เกินจากธนาคารและแสดงต่อผู้เสียหายนั่นเอง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งปัญหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8177/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ผิดพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม
การกระทำของจำเลยตามฟ้องที่ระบุว่าจำเลยร่วมกับพวกลักเอาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอันเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้กับวิทยุคมนาคม โดยจำเลยกับพวกนำเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ปรับคลื่นสัญญาณและรหัสเลขหมายของโทรศัพท์ผู้อื่นมาใช้ติดต่อสื่อสารโทรออกหรือรับการเรียกเข้าผ่านสถานีและชุมสายโทรศัพท์ระบบเซลลูลาร์ของผู้เสียหายนั้น เป็นเพียงการรับส่งวิทยุคมนาคมหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นการแย่งใช้คลื่นสัญญาณโทรศัพท์โดยไม่มีสิทธินั่นเอง จึงมิใช่เป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์สินของผู้อื่นโดยทุจริตการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7) วรรคสอง แต่จำเลยคงมีความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคมฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8129/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งคำวินิจฉัยทางไปรษณีย์ และการนับระยะเวลาอุทธรณ์ตามกฎหมายภาษีอากร โดยการส่งให้ผู้แทนผู้รับถือว่าเป็นการนำจ่ายแล้ว
ตามไปรษณีย์นิเทศฯ การสื่อสารแห่งประเทศไทยอาจจัดส่งไปรษณีย์ให้แก่ผู้แทนของผู้รับก็ได้ และเมื่อจ่ายให้แก่ผู้แทนของผู้รับแล้ว ให้ถือว่าได้นำจ่ายให้แก่ผู้รับแล้วนับแต่เวลาที่นำจ่าย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเอกสารคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไปส่งยังภูมิลำเนาของโจทก์ โดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยเป็นผู้ลงลายมือชื่อรับไว้เมื่อวันที่ 7สิงหาคม 2541 ถือได้ว่ามีการนำจ่ายทางไปรษณีย์ให้แก่ผู้แทนของผู้รับและถือว่าโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2541 อันล่วงเลยกำหนดระยะเวลา 30 วันแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8102/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษในคดีพยายามลักทรัพย์: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้ แต่จำกัดด้วยการที่โจทก์มิได้อุทธรณ์/ฎีกาขอโทษหนักขึ้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,336 ทวิ,80 เมื่อจำเลยรับสารภาพ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องซึ่งต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 336 ทวิ และต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้ปรับบทลงโทษตามมาตรา 336 ทวิและวางโทษจำคุก 8 เดือน แล้วลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 4 เดือนต่ำกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของมาตรา 335(1)(8) วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 80,336 ทวิ จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้ แต่เมื่อโจทก์มิได้อุทธรณ์หรือฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเพิ่มขึ้นศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขโทษที่ลงแก่จำเลยได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 212ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7992/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนฯ และแปรรูปไม้: การพิจารณาว่าเป็นความผิดหลายกรรม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันทำไม้ ร่วมกันเข้าทำประโยชน์โดยตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ร่วมกันแปรรูปไม้โดยกระทำความผิดในเขตป่าสงวนแห่งชาติและภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและร่วมกันมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ กับมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องการกระทำของจำเลยกับพวกย่อมเป็นความผิดต่อกฎหมายทั้งสองฉบับซึ่งฐานความผิดตามฟ้องเป็นความผิดที่ผู้กระทำมีเจตนาต่างกัน และเป็นการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้มีผลต่างกรรมกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7727/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความร่วมมือในการจำหน่ายยาเสพติด แม้ไม่ได้เจรจาหรือส่งมอบเอง แต่รับเงิน ย่อมแสดงถึงเจตนาในการกระทำผิด
ขณะที่จ่าสิบตำรวจ น. เข้าไปติดต่อซื้อ เมทแอมเฟตามีน ในบ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยทั้งสามอยู่ในบ้าน จำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 3เป็นผู้รับเงินค่า เมทแอมเฟตามีน แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้เจรจาจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน และมิได้เป็นผู้ส่งมอบ เมทแอมเฟตามีน ให้แก่จ่าสิบตำรวจ น. ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามีจำเลยที่ 2 และร่วมอยู่ด้วยขณะที่มีการซื้อขาย เมทแอมเฟตามีน และเป็นผู้รับเงินด้วยตนเอง ย่อมส่อแสดงว่าจำเลยที่ 3 รู้เห็นด้วยในการกระทำความผิดฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7561/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการตรวจสอบเอกสารผู้ใช้บริการ ทำให้โจทก์เสียหาย
จำเลยได้รับอนุญาตจากโจทก์ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการขยายเครือข่ายการให้บริการและดำเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าเป็นการให้สัมปทานไปตามข้อสัญญาซึ่งกำหนดว่าผู้ขอเช่าใช้บริการจะต้องมาทำสัญญาเช่าใช้บริการกับจำเลย จำเลยจะให้ผู้เช่าใช้บริการทำสัญญาตามแบบพิมพ์ที่โจทก์กำหนดและจะต้องส่งสัญญาพร้อมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งเป็นบัญชีรายชื่อของผู้ขอใช้บริการทั้งหลายเสนอต่อโจทก์ จำเลยมีหน้าที่เรียกเก็บเงินค่าเช่าใช้บริการจากผู้ขอเอง ส่วนกรณีการให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศเป็นบริการสาธารณะของโจทก์เองตามนโยบายของรัฐบาล โจทก์เป็นผู้เรียกเก็บเงินค่าเช่าใช้บริการเอง แต่ผู้ขอเช่าใช้บริการระหว่างประเทศจะต้องมาทำสัญญากับจำเลยผ่านเครือข่ายวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าของจำเลย ซึ่งจำเลยจะจัดส่งสัญญาพร้อมหลักฐานของผู้ขอใช้บริการในลักษณะเช่นเดียวกันกับผู้ขอใช้บริการโทรศัพท์ภายในประเทศ ในการที่โจทก์จะเป็นผู้เรียกเก็บค่าเช่าใช้บริการเอง เพื่อความรอบคอบจำเลยควรที่จะตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จำเลยจะขอให้โจทก์เปิดใช้บริการทางไกลระหว่างประเทศ ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ขอที่นำมาประกอบสัญญาเป็นสำคัญ จำเลยจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบตรวจสอบหลักฐานได้โดยไม่ยากนัก จะอ้างแต่เพียงว่าได้กรอกข้อความตามที่ผู้ขอเช่าใช้บริการแจ้งมาและมีเอกสารต่าง ๆ ครบถ้วน โดยไม่จำต้องตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารหาได้ไม่ เพราะจำเลยจะต้องเป็นผู้ตรวจสอบคนสุดท้ายก่อนที่จะเสนอโจทก์พิจารณาอนุมัติ ในเมื่อจำเลยเห็นโดยชัดแจ้งอยู่แล้วว่าภาพถ่ายบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอรายนี้เลอะเลือนไม่ชัดเจนและไม่มีลายมือชื่อผู้ถือบัตร จำเลยย่อมสามารถระงับหรือขอให้แก้ไขให้ถูกต้องได้ แต่กลับไม่กระทำ จึงเป็นเหตุให้โจทก์พิจารณาอนุมัติให้ผู้ขอใช้บริการทางไกลระหว่างประเทศ และในที่สุดไม่สามารถเรียกเก็บค่าใช้บริการรายนี้ได้ ถือว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6983/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก: สิทธิเรียกร้องปุ๋ยจากผู้ขายเดิมเมื่อใบสั่งซื้อถูกส่งต่อ
วิธีการจำหน่ายปุ๋ยของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ออกใบสั่งจ่ายสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยระบุชื่อหรือไม่ระบุชื่อตามแต่ลูกค้ากำหนด เพื่อให้ลูกค้านำไปเบิกปุ๋ยจากโกดังของจำเลยที่ 1 และเมื่อมีผู้นำใบสั่งจ่ายสินค้าไปเบิกปุ๋ยจากโกดังของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ก็จะจ่ายสินค้าให้โดยไม่จำต้องตรวจดูว่าผู้มาขอรับสินค้าเป็นผู้ที่สั่งซื้อหรือไม่ ดังนี้ มีลักษณะเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคหนึ่ง เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อปุ๋ยจากจำเลยที่ 2 ได้นำใบสั่งจ่ายสินค้าซึ่งเป็นของจำเลยที่ 1 ออกให้แก่จำเลยที่ 2 ไปขอรับปุ๋ยจากจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรณีที่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามสัญญาว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามสัญญาในอันที่จะต้องมอบปุ๋ยให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 374 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6950/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีอาหารพนักงาน: การให้บริการโดยใช้บริการของตนเองต้องนำมูลค่ามาคำนวณภาษี
การที่โจทก์จัดอาหารให้กับพนักงานของโจทก์ แยกต่างหากจากการที่ให้บริการลูกค้าของโรงแรม ก็เป็นการให้บริการแก่พนักงานโดยใช้บริการของตนเอง อันอยู่ในความหมายของคำว่า "บริการ" ตามมาตรา 77/1 (10) แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งโจทก์จะต้องนำมูลค่าของอาหารที่บริการแก่พนักงานมาคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โจทก์จะอ้างว่าการให้พนักงานของโจทก์รับประทานอาหารเป็นประโยชน์ในการบริหารงานของกิจการอันเป็นการประกอบกิจการของโจทก์โดยตรงหาได้ไม่ แม้โจทก์จะได้รับประโยชน์จากการที่ให้พนักงานรับประทานอาหาร แต่การให้พนักงานรับประทานอาหารมิใช่การบริหารงานของกิจการโดยตรง จะถือเป็นการนำบริการไปใช้ในการบริหารงานของกิจการตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 2) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการนำสินค้าไปใช้เพื่อประกอบกิจการของตนเองโดยตรง ตามมาตรา 77/1 (10) (ก) แห่ง ป.รัษฎากรไม่ได้ ส่วนประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 78) เรื่อง กำหนดลักษณะและเงื่อนไขค่าตอบแทนที่ไม่ต้องนำมารวมคำนวณมูลค่าของฐานภาษีตามมาตรา 79 (4) แห่ง ป.รัษฎากร ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 แต่กรณีของโจทก์เกิดก่อนหน้าที่ประกาศดังกล่าวใช้บังคับ จึงไม่อาจนำประกาศดังกล่าวมาใช้บังคับได้
บทบัญญัติตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 (2) ให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ถ้าโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาได้ว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะหากแปลความว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ห้ามศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับการงดหรือลดเบี้ยปรับว่าเหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารแล้ว การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำวินิจฉัยให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 แห่ง ป.รัษฎากร ที่เรียกเก็บจากโจทก์ทั้งหมด เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วยดี จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว
บทบัญญัติตาม ป.รัษฎากร มาตรา 30 (2) ให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องต่อศาลได้ ถ้าโจทก์ไม่พอใจคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าศาลมีอำนาจในการพิจารณาได้ว่า คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะหากแปลความว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ แต่ห้ามศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เกี่ยวกับการงดหรือลดเบี้ยปรับว่าเหมาะสมและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยอ้างว่าเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารแล้ว การฟ้องคดีของโจทก์ย่อมไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด การที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำวินิจฉัยให้งดเบี้ยปรับภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 89 แห่ง ป.รัษฎากร ที่เรียกเก็บจากโจทก์ทั้งหมด เพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และโจทก์ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบด้วยดี จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว