พบผลลัพธ์ทั้งหมด 384 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3619/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช็คพิพาทเป็นมรดก โจทก์มีอำนาจฟ้องแม้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
เช็คพิพาทถึงกำหนดภายหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายสิทธิตามเช็คพิพาทจึงเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ผู้ทรงเช็คซึ่งเป็นทายาทผู้ตายทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อธนาคาร ตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายและเป็นผู้เสียหายโดยตรงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง โจทก์ที่ 1ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 3 ผู้ตายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแทนก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่ 1 ที่จะร้องต่อศาลขอให้จำหน่ายคดีโจทก์ที่ 3 ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 3 จึงชอบแล้ว
สิทธิตามเช็คพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในเช็คพิพาท โจทก์ทั้งสามคนใดคนหนึ่งสามารถที่จะฟ้องร้องให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยได้โดยลำพัง โดยไม่จำต้องใช้สิทธิร่วมกันทั้งการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสามเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหาย มิใช่สิทธิในฐานะผู้จัดการมรดก การที่ศาลจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 3 เนื่องจากโจทก์ที่ 3 ถึงแก่ความตายก็หาทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1และที่ 2 ต้องระงับไปไม่
โจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้วตายลง โจทก์ที่ 1ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ที่ 3 ผู้ตายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีแทนก็เป็นสิทธิของโจทก์ที่ 1 ที่จะร้องต่อศาลขอให้จำหน่ายคดีโจทก์ที่ 3 ได้ เมื่อจำเลยไม่คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่จำหน่ายคดีเฉพาะโจทก์ที่ 3 จึงชอบแล้ว
สิทธิตามเช็คพิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามย่อมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในเช็คพิพาท โจทก์ทั้งสามคนใดคนหนึ่งสามารถที่จะฟ้องร้องให้ดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยได้โดยลำพัง โดยไม่จำต้องใช้สิทธิร่วมกันทั้งการฟ้องคดีของโจทก์ทั้งสามเป็นการใช้สิทธิในฐานะผู้เสียหาย มิใช่สิทธิในฐานะผู้จัดการมรดก การที่ศาลจำหน่ายคดีของโจทก์ที่ 3 เนื่องจากโจทก์ที่ 3 ถึงแก่ความตายก็หาทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 1และที่ 2 ต้องระงับไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531-3532/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คไม่มีมูลหนี้จริงและผู้ทรงเช็คไม่มีอำนาจฟ้อง การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค้ำประกันค่าแชร์ ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้น ต้องเป็นการออกเช็คที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เมื่อหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยซึ่งเป็นหนี้ประธานระงับสิ้นไป หนี้จำนองและหนี้ค้ำประกันซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ย่อมระงับไปด้วย เช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยออกเพื่อชำระเกี่ยวกับหนี้อุปกรณ์ดังกล่าวจึงไม่มีมูลหนี้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม บทบัญญัติดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3478/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกานี้เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ, สัญญาโมฆะ, และการเรียกคืนเงินมัดจำตามหลักลาภมิควรได้
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้ววินิจฉัยว่าคดีนี้มูลคดีเดียวกันกับคดีก่อน จึงเป็น การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 มีคำสั่งให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้ให้รับฟ้องประเด็นเรื่องค่าเสียหาย การที่จำเลยฎีกาว่าไม่มีเหตุที่จะต้องวินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหาย ขอให้บังคับคดีตามศาลชั้นต้น เป็นฎีกาที่ขอให้จำเลยชนะคดีในปัญหาเรื่องการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามคำวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 24 ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 (2) (ข) ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพิ่มเติมอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงเป็น คำสั่งที่ไม่ชอบ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงไม่เป็นการทิ้งฎีกา
ประเด็นเรื่องค่าเสียหายเพิ่มเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาสืบต่อเนื่องจากประเด็นเรื่องผิดสัญญาหรือไม่ เมื่อคดีก่อนฟังได้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายต่อไป และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นที่เกี่ยวกับคดีนี้แล้ว จึงต้องห้ามดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
โจทก์ชำระมัดจำหรือเงินราคาค่าซื้อขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่ห้ามโอนซึ่งเป็นโมฆะ จึงเป็นการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์จึงไม่อาจเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411
ประเด็นเรื่องค่าเสียหายเพิ่มเป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาสืบต่อเนื่องจากประเด็นเรื่องผิดสัญญาหรือไม่ เมื่อคดีก่อนฟังได้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องค่าเสียหายต่อไป และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาชี้ขาดในประเด็นที่เกี่ยวกับคดีนี้แล้ว จึงต้องห้ามดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144
โจทก์ชำระมัดจำหรือเงินราคาค่าซื้อขายที่ดินพิพาทแก่จำเลยตามสัญญาซื้อขายที่ดินที่ห้ามโอนซึ่งเป็นโมฆะ จึงเป็นการชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย โจทก์จึงไม่อาจเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากจำเลยฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3320/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินการกรณีจำเลยถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณา: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งการเข้าเป็นคู่ความแทนที่
เมื่อจำเลยที่ 1 ตายขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นอำนาจของศาลดังกล่าวที่จะสั่งคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจะต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาและไต่สวนให้ได้ความจริง แล้วส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อสั่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตการเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่เอง แล้วอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟัง จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง: การยึดหน่วงค่าจ้างเพื่อชดใช้ค่าเสียหายจากงานชำรุด และผลของการไม่ถือกำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญ
สัญญาจ้างเหมาก่อสร้างได้ระบุไว้ว่า กำหนดเวลาแล้วเสร็จของงานคือวันที่ 31 สิงหาคม 2538 โจทก์ได้ส่งมอบงานครั้งสุดท้ายคือวันที่ 31 สิงหาคม 2538 ขณะที่มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายนั้น งานตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ เหตุที่โจทก์ขอส่งมอบงานก่อนโดยมีเงื่อนไขว่าจะรับผิดชอบในงานส่วนที่เหลือ และจำเลยตกลงรับมอบงานไว้นั้นก็เพื่อมิให้โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาอันจะทำให้ถูกปรับและเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญา หลังจากที่มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายแล้ว โจทก์ยังคงทำงานตามสัญญาจ้างรับเหมาก่อสร้างต่อไป จนกระทั่งงานเสร็จ หลังจากนั้นทางฝ่ายจำเลยได้ออกใบรับรองการจ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าจ้างงวดสุดท้าย และต่อมาจำเลยจ่ายเงินให้โจทก์จำนวนหนึ่ง พฤติการณ์ของโจทก์และจำเลยที่ได้ปฏิบัติต่อกันดังกล่าว เห็นได้ว่าต่างก็ไม่ถือกำหนดระยะเวลาเป็นสาระสำคัญของสัญญาอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามโจทก์ยังคงต้องดำเนินการต่อไปให้แล้วเสร็จตามสัญญาอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีข้อชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงจะได้รับค่าจ้างครบถ้วนตามสัญญา การที่โจทก์ดำเนินการก่อสร้างแล้วชำรุดบกพร่อง โจทก์จึงยังคงต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่ชำรุดบกพร่องนี้ เมื่อโจทก์ยังคงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของสิ่งก่อสร้างอยู่ การที่จำเลยใช้สิทธิไม่ชำระค่าจ้างงวดสุดท้ายไว้ จึงเป็นการใช้สิทธิยึดหน่วงสินจ้างเป็นค่าเสียหายในการก่อสร้างตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขยายระยะเวลาอุทธรณ์: เหตุทนายความเพิ่งได้รับมอบหมายและติดว่าความอื่น ศาลฎีกาอนุญาตเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
คำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ มิได้อ้างเหตุของตัวผู้ร้องเอง แต่อ้างเหตุของทนายความที่ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทันเพราะเพิ่งได้รับมอบหมายจากผู้ร้องและจะต้องตามประเด็นไปว่าความที่ศาลอื่น มิใช่เป็นการขอขยายระยะเวลาโดยอ้างเหตุว่ามีพฤติการณ์พิเศษตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แต่เป็นการขออนุญาตให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย จึงเป็นดุลพินิจที่จะพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3012-3013/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามส่งออกนอกราชอาณาจักร แม้เรือยังไม่แล่นพ้นชายฝั่งก็ถือเป็นความผิดสำเร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 8 รู้ว่าถุงปุ๋ยจำนวน 7 ถุง ภายในบรรจุเฮโรอีนและได้ร่วมกันลำเลียงมาจากบ้านของ ส.ลงเรือเพื่อส่งให้กับเรือใหญ่ในน่านน้ำสากลเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อยู่บนเรือพร้อมจะออกเดินทางสู่น่านน้ำสากลได้ทุกเมื่อ การที่จำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งอยู่บนเรือได้แกะเชือกที่หัวเรือออก เป็นการลงมือเพื่อส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หาจำต้องให้เรือแล่นสู่น่านน้ำสากลเสียก่อนไม่
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อยู่บนเรือพร้อมจะออกเดินทางสู่น่านน้ำสากลได้ทุกเมื่อ การที่จำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งอยู่บนเรือได้แกะเชือกที่หัวเรือออก เป็นการลงมือเพื่อส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หาจำต้องให้เรือแล่นสู่น่านน้ำสากลเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3012-3013/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ร่วมกันลักลอบนำเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักร: บทบาทผู้จัดหาและลูกเรือ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 8 รู้ว่าถุงปุ๋ยจำนวน 7 ถุง ภายในบรรจุเฮโรอีนและได้ร่วมกันลำเลียงมาจากบ้านของ ส. ลงเรือเพื่อส่งให้กับเรือใหญ่ในน่านน้ำสากลเป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อยู่บนเรือพร้อมจะออกเดินทางสู่น่านน้ำสากลได้ทุกเมื่อการที่จำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งอยู่บนเรือได้แกะเชือกที่หัวเรือออก เป็นการลงมือเพื่อส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หาจำต้องให้เรือแล่นสู่น่านน้ำสากลเสียก่อนไม่
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อยู่บนเรือพร้อมจะออกเดินทางสู่น่านน้ำสากลได้ทุกเมื่อการที่จำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งอยู่บนเรือได้แกะเชือกที่หัวเรือออก เป็นการลงมือเพื่อส่งเฮโรอีนของกลางออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่ายแล้ว จึงมีความผิดฐานพยายามส่งเฮโรอีนออกนอกราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย หาจำต้องให้เรือแล่นสู่น่านน้ำสากลเสียก่อนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2936/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน: เจตนา, พฤติการณ์, และการแบ่งหน้าที่
สิบตำรวจตรี ว. ได้เจรจาตกลงซื้อขายเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุและนัดสถานที่ส่งมอบในวันรุ่งขึ้น ต่อมาสิบตำรวจตรี ว. กับสายลับได้มาพบจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ยังทำหน้าที่ประสานงานติดต่อโดยขับรถพาไปพบจำเลยที่ 1 และ ช. เพื่อจะไปเอาของกลาง โดยให้ ช. พาสิบตำรวจตรี ว. กับสายลับไปที่ทาวน์เฮาส์แห่งหนึ่ง จากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์นำของกลางมามอบให้สิบตำรวจตรี ว. เจ้าพนักงานตำรวจจึงเข้าจับกุมได้เมทแอมเฟตามีนของกลางส่วนหนึ่ง และติดตามจับจำเลยที่ 2 ได้โดยพบเมทแอมเฟตามีนจากกระเป๋าสะพายของจำเลยที่ 2 อีกจำนวนหนึ่ง ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2มิใช่เป็นเพียงคนกลางติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้น แต่ยังร่วมกับจำเลยที่ 1 และ ช. จัดหาเมทแอมเฟตามีนจำนวนที่ตกลงกันไว้ โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำ แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อยู่ด้วยในขณะส่งมอบเมทแอมเฟตามีนก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2882/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามทุนทรัพย์: การฎีกาในคดีละเมิดที่มีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเพราะเหตุละเมิดแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์จงใจขาดนัดพิจารณา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองจะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับประเด็นพิพาทตามฟ้องก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว